Kyoto Hidden Place :: 3 ที่ลับในเกียวโตที่คนไม่ค่อยรู้จัก

ถ้าพูดถึงเกียวโต คุณจะนึกถึงอะไรกันคะ

วัดน้ำใส วิหารวัดทอง ชาเขียวจากเมืองอุจิ เหล่าเกอิชาในชุดกิโมโนสวยงาม อาหารแบบโอบันไซ หรือว่าใครที่ชอบกาแฟก็อาจจะนึกถึงร้านกาแฟบรรยากาศดีที่กระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง

ก่อนจะมาที่เกียวโต คนชอบเดินเที่ยวอย่างเราก็มีลิสต์ประมาณนั้นแหละค่ะ จนพอมีโอกาสได้มาอยู่ที่เกียวโตหนึ่งปี ถึงได้รู้ว่าเกียวโตน่ะมีสถานที่อีกมากมายที่ไม่เคยถูกพูดถึงในหนังสือไกด์บุ๊คและนักท่องเที่ยวน้อยคนนักที่จะรู้จัก แถมบางที่คนที่อยู่เกียวโตมานานก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อเสียด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ลับ หรือ Hidden Place ที่รอให้เราได้ค้นพบ

และนี่คือ 3 Kyoto Hidden Place ที่เราอยากชวนคุณไปรู้จักค่ะ

Hidden Place

1

Ichijo Yokai Street ถนนปีศาจ

ถนนปีศาจแห่งนี้รู้จักกันในอีกชื่อว่า Taishogun Shopping Street เป็นถนนร้านค้าสายเล็กตั้งอยู่ถัดจากศาลเจ้าใหญ่อย่าง Kitano Tenmangu (ที่คนชอบไปขอพรเรื่องการเรียน) ไปหนึ่งถนน ที่คนเรียกกันว่าถนนปีศาจก็เพราะว่าบนถนนร้านค้ายาวเพียง 400 เมตรแห่งนี้ ที่หน้าร้านตลอดสองฝั่งมีตุ๊กตาปีศาจยืนรอต้อนรับเราอยู่ค่ะ

Hidden Place

อย่างร้านขายชาก็จะมีปีศาจกาน้ำชา ร้านขายหมอนมีปีศาจหมอน ร้านขายเซมเบ้มีปีศาจชาวนาใส่หมวกสาน ส่วนถ้าไปร้านขายยาก็จะเจอปีศาจบาดเจ็บพันผ้าพันแผลเต็มตัว

แต่ทำไมถึงต้องตั้งตุ๊กตาปีศาจกันด้วยนะ? 

ตำนานเล่าว่า ย้อนกลับไปในสมัยเฮอัน หลังจากที่มีการทำความสะอาดใหญ่ประจำปี ข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ จำนวนมากก็ถูกโละทิ้ง คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าพวกเครื่องใช้ที่มีอายุยาวนานเกินหนึ่งร้อยปีจะมีวิญญาณสิงสถิตอยู่ กลายเป็นปีศาจข้าวของเครื่องใช้หรือที่เรียกกันว่าสึคุโมะกามิ (Tsukumogami)

อยู่มาวันหนึ่งเหล่าสึคุโมะกามิก็มารวมตัวคุยกัน 

“ทั้งที่เราทำงานรับใช้พวกมนุษย์มาตั้งนาน แต่กลับถูกทิ้งขว้างไม่ใส่ใจแบบนี้ มันยอมรับได้ที่ไหนกันล่ะ” 

“น่าโมโหจริงๆ เลย”

“พวกเรายกขบวนไปแก้แค้นเจ้าพวกมนุษย์กันเถอะ !”

คิดได้ดังนั้น เหล่าปีศาจสึคุโมะกามิก็รวมตัวเดินขบวนเข้าเมืองเพื่อไปแก้แค้นมนุษย์ ซึ่งเส้นทางที่เหล่าปีศาจข้าวของเครื่องใช้เดินผ่านกันไปก็คือถนน Ichijo-dori แห่งนี้นั่นเอง

Hidden Place

พอตำนานเขาว่ามาอย่างนั้น เหล่าร้านค้าสองฟากถนนก็เลยปิ๊งไอเดียยก “ปีศาจ” ขึ้นมาเป็นธีมเพื่อโปรโมทการท่องเที่ยวซะเลย แล้วก็ทำตุ๊กตาปีศาจของตัวเองมาตั้งไว้หน้าร้านเพื่อเรียกลูกค้า นอกจากนี้ ทุกปีในวันเสาร์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม ถนนสายนี้ก็จะจัดงาน Yokai Costume Parade ที่เปิดให้คนทั่วไปแต่งชุดแต่งหน้าเป็นปีศาจมาเดินพาเหรดรำลึกถึงตำนานสมัยเฮอันกันด้วยค่ะ คนชอบตำนานปีศาจญี่ปุ่นจะต้องไม่พลาด

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับถนนปีศาจ

เว็บไซต์: http://kyoto-taisyogun.com/about-taisyogun/

การเดินทาง: นั่งรถบัสสาย 203 ลงป้าย Kitano Tenmangu-mae เดินต่ออีก 2 นาที

Google Map: https://goo.gl/maps/33t1CeEdtpcHrork9

2

Tanukidanisan Fudo-in Temple

วัดทานุกิบนภูเขาหลังโรงเรียน

ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น ทานุกิเป็นสิ่งมีชีวิตแสนเจ้าเล่ห์ ชอบแปลงร่างเป็นคนมาหลอกแกล้งมนุษย์หรือเล่นซนตามใจ สมัยก่อนเวลามีเรื่องอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นก็จะพูดกันไปก่อนเลยว่า เนี่ย ฝีมือทานุกิแน่ๆ 

ส่วนวัดทานุกิแห่งนี้ ตั้งอยู่ลึกขึ้นไปบนภูเขาฮิกาชิยามะทางฝั่งตะวันออกของเกียวโต ความจริงตลอดแนวภูเขาฝั่งนี้มีศาลเจ้าและวัดทั้งเล็กทั้งใหญ่เยอะไปหมด ส่วนใหญ่คนที่มาเยี่ยมเยียนก็จะเป็นชาวญี่ปุ่นในทริปตามรอยเส้นทางแสวงบุญหรือตามรอยซามูไรชื่อดังอย่างมิยาโมโตะ มุซาชิที่เคยมาฝึกปรือฝีมือบนภูเขาแถวนี้เมื่อราวห้าร้อยปีก่อน คนส่วนมากที่เดินขึ้นเขามามักจะหยุดอยู่ที่ศาลเจ้าของซามูไรมุซาชิ แต่ถ้าเดินขึ้นเขาไปจนสุดทางก็จะเจอวัด Tanukidanisan Fudo-in นั่นเอง

เหล่ารูปปั้นทานูกิตรงทางขึ้น

เพราะเป็นวัดที่ชื่อว่า Tanukidani (แปลว่าหุบผาทานุกิ) พอถึงทางเดินขึ้นวัดเราก็จะเจอรูปปั้นทานุกิอยู่กันเป็นฝูงเหมือนมารวมตัวต้อนรับ มาตอนบ่ายก็ยังโอเค แต่ถ้ามาตอนกลางคืนนี่คงจะน่ากลัวไม่น้อย และแอบคิดสงสัยไปได้ว่าเจ้าทานุกิพวกนี้จะแปลงร่างมาหลอกอะไรเราหรือเปล่านะ 

ถึงจะชื่อว่าวัดหุบผาทานุกิ แต่บางตำราก็บอกว่าความจริงแล้วชื่อเดิมของวัดไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าทานุกิจอมเจ้าเล่ห์หรอก แต่มาจากคำว่า Ta-Nuki (他抜き) ที่หมายถึงการปัดเป่าความโชคร้ายออกไปต่างหาก แต่คงเพราะว่าพ้องเสียงกับชื่อเจ้าทานุกิพอดี คนก็เลยจำเป็นชื่อวัด Tanuki ไปซะแบบนั้นแถมยังพากันเอารูปปั้นทานุกิมาตั้งไว้ จนมาถึงปัจจุบันก็กลายเป็นว่าวัดแห่งนี้มีเจ้าทานุกิเป็นมาสคอตไปซะแล้ว

บันไดขึ้นเขาไปยังวัดทานุกิมีทั้งหมด 250 ขั้น และระหว่างทางก็จะมีตุ๊กตาทานุกิแขวนป้ายบอกเป็นระยะว่าเราเดินมาถึงขั้นที่เท่าไหร่แล้วประหนึ่งว่าให้กำลังใจ พอเดินไต่บันไดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เสียงรถราจอแจจากถนนใหญ่ด้านล่างก็ค่อยๆ เบาลง และแทนที่ด้วยเสียงจากป่าเขา เสียงนก เสียงแมลง เสียงลมพัดผ่านใบไม้ ให้ความรู้สึกลึกลับปนขนลุกขึ้นมาหน่อยๆ

สำหรับจุดเริ่มต้นของวัดทานุกิ ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1718 มีพระรูปหนึ่งนามว่าท่านโทโมะอัตสึได้ค้นพบถ้ำบนภูเขาแห่งนี้ท่ามกลางป่าทึบ ซึ่งท่านได้ใช้เป็นที่อาศัยเพื่อปฏิบัติตนตามวิถี Mokujiki (ลัทธิที่ทานแต่ผลไม้ ธัญพืช และสมุนไพรเพื่อยังชีพ) และภายหลังก็ได้ตั้งรูปปั้นเทพฟุโดเมียวโอ ราชาแห่งสติปัญญาไว้ที่ถ้ำแห่งนี้ด้วย พอเวลาผ่านไปตัวถ้ำก็ถูกทิ้งร้าง จนมาถึงปลายยุคเมจิ เหล่าชาวบ้านผู้ศรัทธาก็ทำการปัดฝุ่นถ้ำ ถางป่าสร้างบันไดทางเดิน รวมทั้งเชิญพระชื่อท่านเรียวเอมาเป็นเจ้าอาวาสดูแลการสร้างตัววัดด้านนอกถ้ำในปี 1944

วัดทานุกิ
โถงไม้ของวัดทานุกิสร้างยื่นออกจากหน้าผา

พอก้าวถึงบันไดขั้นที่ 250 เราก็มาถึงทางเข้าตัววัดแล้วค่ะ (อย่าลืมถ่ายรูปกับเจ้าทานูกิหมายเลข 250 เป็นที่ระลึกด้วยนะ) จากมุมตรงนี้จะเห็นตัววัดสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง มีโถงสร้างยื่นออกจากหน้าผาแบบเดียวกับวัดคิโยมิสุเลย ต่างกันแค่ของวัดทานุกิมีขนาดเล็กกว่า สำหรับใครที่อยากเข้าไปดูในตัววัดสามารถหยอดค่าเข้า 500 เยนที่ตู้ตรงทางเข้าได้เลย แต่จะยืนดูข้างนอกเฉยๆ ก็ไม่ว่ากัน ด้านข้างจะมีเก้าอี้นั่งพัก แล้วก็ร้านขายเครื่องราง รวมทั้งตัวปั๊มที่ระลึกรูปทานูกิ ใครสะสมตราปั๊มทั่วเกาะญี่ปุ่นต้องอย่าลืมพกสมุดไปด้วยนะคะ อ้อ สำหรับที่วัดทานุกิ คนส่วนใหญ่จะมาขอพรเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะขอให้หายจากโรคร้ายแรงค่ะ

เราหยอดเหรียญห้าร้อยเยนใส่ตู้ แล้วก็เดินเข้าไปในเขตตัววัดขนาดเล็ก ได้กลิ่นไม้เก่าแก่ เห็นธงผ้าสีต่างๆ กันปลิวไสว ด้านในสุดของตัววัดคือถ้ำที่ท่านโทโมะอัตสึเคยอาศัยอยู่ มีรูปปั้นเทพฟุโดเมียวโอพร้อมแท่นหมู่บูชา

ในวัดว่าเงียบแล้ว แต่ในถ้ำเล็กๆ ยิ่งเงียบกว่า บวกกับความมืดที่มีเพียงแสงสีส้มจากเทียนเล่มเล็กยิ่งทำให้บรรยากาศตรงนี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างบอกไม่ถูก ด้านในไม่ให้ถ่ายรูป แต่สิ่งที่เราจำได้แม่นเลยคือความเงียบในถ้ำ กลิ่นธูปหอมจางๆ และดวงตาดุดันของเทพฟุโดเมียวโอที่สะท้อนกับแสงเทียน เป็นบรรยากาศที่ต้องลองเข้ามาสัมผัสเองจริงๆ นะ

พอออกจากอาคารวัด อย่าเพิ่งเดินเลี้ยวซ้ายออกไปนะคะ เพราะที่ด้านขวามีระเบียงไม้ทอดมองวิวเมืองเกียวโตจากมุมสูงท่ามกลางแมกไม้ในป่า เราไปถึงช่วงเย็นเลยได้มองแสงแดดสีชมพูส้มก่อนพระอาทิตย์ตกอาบไล้ทั่วบ้านและอาคารเบื้องล่าง มองเลยไปอีกหน่อยก็เป็นทิวเขาและท้องฟ้าไร้เมฆในยามเย็น เป็นโมเม้นต์ที่ดีต่อใจมากๆ เลยล่ะ

แล้วก่อนกลับ อย่าลืมแวะบอกลาเจ้าทานุกิใส่เครื่องทรงเต็มยศที่ด้านหน้าด้วยนะคะ

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับวัดทานูกิ

เว็บไซต์: www.tanukidani.com

เวลาเปิด-ปิด: เปิดทุกวัน 9.00 – 16.00

ค่าเข้า: 500 เยนสำหรับค่าเข้าไปในตัวอาคารวัด

การเดินทาง: นั่งรถบัสสาย 5 ลงป้าย Ichijoji Sagarimatsucho และเดินขึ้นเขาต่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตร

Google Map: https://goo.gl/maps/LKottnVvXdwf8UeaA

3

Murin-an

บ้านและสวนของอดีตนายกฯ ญี่ปุ่น

สำหรับ Hidden Place แห่งสุดท้าย

เราแอบเรียกที่นี่ว่าสวนลับ เพราะ Murin-an ไม่ได้เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวเท่าไหร่ และการจะเข้าชมบ้านและสวนแห่งนี้ก็ต้องจองเวลาเข้ามาก่อน แถมยังจำกัดเวลาเพียงรอบละชั่วโมงเดียวอีก 

แต่ก็เพราะการจำกัดจำนวนคนเข้าชมในแต่ละรอบนี่แหละ ที่ทำให้เราได้สัมผัสบรรยากาศสงบท่ามกลางสวนสีเขียวร่มรื่น นั่งจิบชาในบ้านไม้โบราณ ฟังเสียงน้ำกระทบกรวดหินในสระและเสียงแมลงตามต้นไม้ในฤดูร้อน ได้สงบจิตสงบใจพร้อมกับมองวิวสวนจากจุดเดียวกับที่อดีตนายกฯ ญี่ปุ่นเคยยืนอยู่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน

เราจองเวลาชมสวนที่ Murin-an ตอนสี่โมงเย็นวันศุกร์ในช่วงฤดูร้อน ตอนขามาแอบหลงทางนิดหน่อย เพราะประตูทางเข้าอยู่ในซอยเล็กถัดจากถนนใหญ่เข้ามาอีกที เข้ามาด้านในก็จะเจอโซนรับรองก่อนเข้าตัวบ้าน เราไปแลกตั๋วเข้าตามเวลาที่จองมาแล้วก็นั่งรอจนสี่โมงเย็นก็มีสต๊าฟมาผายมือเชิญเราเข้าไปด้านใน พร้อมกับกำชับเวลาชมสวนภายใน 1 ชั่วโมง

ก่อนไปชมสวน เรามาย้อนดูที่มาที่ไปกันก่อนดีกว่า

Murin-an เป็นบ้านและสวนของอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชื่อว่ายามากาตะ อาริโตะโมะ (Yamagata Aritomo) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคเมจิจนถึงยุคไทโช และถือเป็นนักการเมืองที่มีบทบาทมากคนหนึ่งในยุคหลังการปฏิรูปเมจิ สำหรับบ้านและสวนแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงปี 1894-1896 และเมื่อปี 1951 ก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็น Place of Scenic Beauty (国の名勝) ของญี่ปุ่นด้วยค่ะ

ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะงงว่า Place of Scenic Beauty คืออะไร? อธิบายง่ายๆ ก็คือทางรัฐบาลญี่ปุ่นเขาได้มีการขึ้นทะเบียนสถานที่ต่างๆ ในประเทศเป็นมรดกทางวัฒนธรรม โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1) Historic Sites 2) Place of Scenic Beauty และ 3) National Monuments

พอเดินลงจากตัวบ้านไม้เราก็จะอยู่ท่ามกลางสวนกว้างใหญ่ Murin-an ถือว่าเป็นสวนแรกๆ ในยุคบุกเบิกสวนสไตล์ Modern Japanese โดยในสมัยนั้นสวนญี่ปุ่นนิยมจัดแบบ Symbolism คือมีสระน้ำเป็นสัญลักษณ์แทนมหาสมุทร หินเป็นสัญลักษณ์แทนเกาะ แต่ที่ Murin-an จัดสวนโดยใช้ความสวยงามของธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว โดยมีภูเขาฮิกาชิยามะเป็นฉากหลัง ส่วนสระน้ำที่นี่ก็ต่อมาจากคลองทะเลสาบบิวะ

เดินเลียบสระน้ำไปเรื่อยๆ แล้วก็สูดอากาศบริสุทธิ์จนเต็มปอด ตามพื้นมีมอสสีเขียวชอุ่ม ที่ริมสระมีต้นโมมิจิอยู่หลายต้น ถึงตอนนี้ใบจะเป็นสีเขียวทั้งหมด แต่พอเข้าฤดูใบไม้ร่วงคงพากันเปลี่ยนเป็นสีส้มสีแดงดูสวยงามไปอีกแบบแน่นอนเลยค่ะ ด้านในสุดของสวนเป็นน้ำตกขนาดเล็ก เรายืนหลับตาฟังเสียงน้ำกระทบหินตรงนี้อยู่ซักพักเลย พอได้อยู่ท่ามกลางต้นไม้เขียวๆ ฟังเสียงธรรมชาติแล้วมันสบายใจดีจัง 

พอเดินชมสวนจนทั่วแล้วก็ถึงเวลาจิบชาค่ะ เราเดินกลับเข้ามาที่ตัวอาคารหลักซึ่งเป็นบ้านไม้อายุ 120 ปี และปัจจุบันใช้เป็นเรือนน้ำชา ด้านในปูด้วยพรมสีฟ้าเข้ม มีเบาะผ้ากลมๆ เตรียมไว้ให้แขกได้นั่งจิบชาชมสวน เราซื้อตั๋วเข้าราคา 1,600 เยนซึ่งรวมเช็ตน้ำชาไว้ด้วย สามารถเลือกเครื่องดื่มและขนมได้อย่างละหนึ่ง

ถึงจะบอกว่ามาจิบชาชมสวน แต่แหม ก็ช่วงที่ไปมันหน้าร้อน เราเลยสั่งน้ำยุสุเย็นชื่นใจกับขนมโมนากะไส้ไอศกรีมชาเขียวมาคู่กัน กลายเป็นการกินขนมชมสวน Murin-an ในยามบ่ายแก่ๆ แทนค่ะ วันที่เราไปคนค่อนข้างน้อยบรรยากาศด้านในเลยเงียบมากๆ นั่งพับเพียบกินขนมมโนว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้านและสวนแห่งนี้อยู่นานสองนาน จนพอใกล้ครบหนึ่งชั่วโมงก็ถึงเวลาอันเชิญตัวเองกลับบ้านของจริงค่ะ แฮ่ 

ทาง Murin-an มีสินค้าที่ระลึกให้เลือกซื้อกลับบ้านด้วย ทั้งหมดเป็นสินค้าออริจินัล หมายความว่ามีวางขายแค่ที่ Murin-an เท่านั้น ! แน่นอนว่าเราก็ได้ของติดมือกลับมาหนึ่งอย่าง เป็นเซ็ตโปสการ์ดรูปวาดสวน Murin-an 4 ฤดูในราคา 600 เยน ดูเก๋ไม่หยอกเลย

สำหรับค่าเข้าชม Murin-an มี 3 ราคาตามรายละเอียดด้านล่าง

  • แบบที่ 1 ราคา 600 เยน สำหรับเข้าชมบ้านและสวนเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
  • แบบที่ 2 ราคา 1,600 เยน สำหรับเข้าชมบ้านและสวน พร้อมเช็ตจิบชา
  • แบบที่ 3 ราคา 2,200 เยน สำหรับเข้าชมบ้านและสวน พร้อมเซ็ตจิบชา และของที่ระลึกเป็นผ้าเช็ดมือลายออริจินัลของที่นี่สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและจองตั๋วเข้าชมได้ที่นี่ค่ะ https://murin-an.jp/en/info/ (เว็บไซต์มีภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน)

ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับ Murin-an

เว็บไซต์: murin-an.jp/en

เวลาเปิด-ปิด: 9.00 – 17.00 เปิดทุกวัน แต่ต้องจองเวลาล่วงหน้าทางเว็บไซต์ก่อน

ค่าเข้า: 600 เยน/ 1,600 เยน/ 2,200 เยน 

การเดินทาง: นั่งรถบัสสาย 100 หรือ 110 ลงป้าย Okazaki Kouen เดินต่ออีกประมาณ 5 นาที ทางเข้าอยู่ในซอยเล็ก เดินตามกูเกิ้ลแมพเข้าไปได้เลยค่ะ

Google Map: https://goo.gl/maps/DvdzRqsiBkSYZu987