Kyoto Eat Guide ฉบับสายผัก

Kyoto Eat Guide: แนะนำ 8 ร้านอาหารวีแกน อาหารมังสวิรัติ อาหารสุขภาพ และอาหารผักๆ ในเกียวโตสำหรับคนชอบกินผัก

หลังจากย้ายมาอยู่เกียวโตได้ครบหนึ่งอาทิตย์ เราก็เริ่มคุ้นชินกับที่ทาง การขึ้นรถเมล์ พิกัดร้านร้อยเยนและร้านสะดวกซื้อรอบๆ ละแวกบ้าน ทุกอย่างดูจะเริ่มเข้าที่เข้าทางดี แต่แล้วเราก็จะเจอกับปัญหาใหม่ค่ะ

ซึ่งก็คือ ‘ร้านอาหาร’ กับ ‘เมนูที่ไม่มีผัก’ ! 

ดูจะเป็นปัญหายิบย่อย แต่สำหรับเราที่เป็นคนชอบกินผักแล้ว มันคือความอึดอัดอย่างถึงที่สุด!

ลองนึกภาพคนที่เคยได้กินสลัดผักเจ็ดวันต่อสัปดาห์ แต่ตอนนี้หันมากินทงคัตสึและไก่ทอดติดกันทุกวัน … แบบนั้นเลยล่ะค่ะ แบบนั้นเลย สิ่งหนึ่งที่เราเพิ่งค้นพบตอนมาใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นก็คือเมนูตามร้านทั่วไปมักจะเป็นพวกอาหารชุบแป้งทอดกันซะส่วนใหญ่ มีสลัดกะหล่ำปลีแถมมาแบบกระจุ๋มกระจิ๋ม ซึ่งถามว่าพอมั้ย ก็ไม่พออยู่แล้วสิ 

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เราลองค้นหาร้านอาหารหรือคาเฟ่ในเกียวโตที่มีเมนู ‘ผัก’ แบบจริงๆ จังๆ แล้วก็พบว่า มันมีเยอะกว่าที่คิดซะอีกนะเนี่ย (กรี๊ด! ฉันไปอยู่ไหนมา!) และนี่ก็คือ 8 ร้านอาหาร ณ เกียวโตที่คนชอบกินผักอย่างเราไปลองมาแล้ว และคัดมาให้แล้วว่าคุณต้องชอบเหมือนกันแน่นอนค่ะ


1. Veg Out

ประเดิมกันที่ร้านผักร้านแรกที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำคาโมะและห่างจากสถานีรถไฟเกียวโตไปไม่ถึงสิบนาที 

Veg Out เป็นร้านอาหารวีแกนที่เสิร์ฟเมนูสุขภาพจากผักออแกนิคท้องถิ่น โดยมีความตั้งใจอยากให้ทุกคนได้ทานอาหารจากวัตถุดิบสดใหม่อย่างเอร็ดอร่อย ได้ปล่อยวางจากความเร่งรีบของวันด้วยอาหารดีๆ พร้อมกับดูวิวท้องฟ้า แม่น้ำ และภูเขาจากหน้าต่างบานใหญ่ เมนูที่ร้านมีทั้งมื้อกลางวันที่เป็นอาหารจานเดียว เช่น Taco Rice และข้าวแกงกะหรี่ทำจากกะทิกับมะเขือเทศเข้มข้น รวมถึงเมนูขนมหวาน เช่น มัฟฟิน คุ้กกี้ และ Raw Cake ส่วนเครื่องดื่มก็มีหลากหลาย ทั้งจิงเจอร์เอลโฮมเมด คอมบุชะ และสมูทตี้ที่เปลี่ยนส่วนผสมไปทุกวัน 

เราได้ไปเยี่ยมเยียน Veg Out ในบ่ายวันอาทิตย์ที่คนไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ เลือกที่นั่งริมหน้าต่างบานใหญ่ทอดมองวิวแม่น้ำคาโมะ ด้านนอกหน้าต่างมีระเบียงเล็กๆ ซึ่งทางร้านใช้เป็นที่ปลูกดอกไม้และพืชสมุนไพรต้นเล็กต้นน้อย ตอนแรกเราคิดว่าปลูกไว้เป็นวิวสวยๆ อย่างเดียว ปรากฏว่าระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ คุณเจ้าของร้านก็เดินมาเปิดหน้าต่างเอื้อมมือไปตัดใบมิ้นท์จากด้านนอกมาใส่แก้วเลมอนเนดของเราให้ซะด้วย น่ารักสุดๆ ไปเลย

เราสั่ง Taco Rice และ Buddha Bowl มาอย่างละจาน เสิร์ฟมาคู่กับซุปมันฝรั่งเนื้อเนียน สำหรับ Buddha Bowl เป็นจานสลัดที่มีทั้งผักใบเขียว แครอท มะเขือเทศ ข้าว และ soy meat หรือเนื้อจากถั่วเหลืองชุบแป้งทอดราดซอสสไปซี่มาโย อร่อยเข้ากันดีเลยค่ะ ยิ่งได้เคี้ยวผักสลัดกรอบๆ พร้อมกับดูวิวแม่น้ำและท้องฟ้ายามบ่ายไปด้วย นับเป็นช่วงเวลายามบ่ายที่ดีมากๆ  ก่อนกลับเราก็แวะดูชั้นไม้ตรงทางเข้าร้านที่มีพวกหนังสือ ใบปลิวคอร์สโยคะ (ชั้นใต้ดินของร้านเป็นสตูดิโอโยคะในเครือเดียวกัน) เมล็ดกาแฟสำหรับซื้อกลับบ้าน รวมถึงกล่องใส่โปสการ์ดซึ่งแน่นอนว่าเราได้ติดมือกลับบ้านมาด้วยหนึ่งใบ

ข้อมูลร้าน Veg Out

แผนที่ร้าน: https://goo.gl/maps/3vvJ373ymk6FCsr26

เวลาเปิด-ปิด: 11.00-17.30 ปิดวันจันทร์

การเดินทาง: จากสถานี Shichijo เดินต่ออีก 2 นาที

Website: https://tamisa-yoga.com/cafe/veg-out/index.html

หมายเหตุ: บางเมนูสามารถสั่งเป็นแบบ Gluten-free ได้ด้วยนะ


2. Hitotema (季節の野菜料理ヒトテマ)

ร้านประจำของเราเอง เพราะอยู่แถวละแวกบ้าน รสชาติถูกใจและราคาไม่แพงเท่าไหร่ด้วย

คุณมิสึกิ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านได้เริ่มกิจการ Hitotema ขึ้นในปี 2016 โดยเธอได้แรงบันดาลใจมาจากคุณยายซึ่งเป็นคนสอนเธอทำอาหาร และจากประสบการณ์ชีวิตในช่วงอายุยี่สิบที่ประเทศสเปนและฝรั่งเศส (เธอพูดภาษาฝรั่งเศสได้ด้วยล่ะค่ะ เท่มากๆ) ทำให้เธอมีแนวคิดอยากทำร้านอาหารสไตล์ออแกนิคที่ส่งเสริมเกษตรกรชาวท้องถิ่นและปรัชญาความยั่งยืน ทุกครั้งที่ไปที่ร้านก็จะได้เจอกับคุณมิสึกิในชุดผ้ากันเปื้อนสีเรียบๆ และหมวกไหมพรมคลุมผมอย่างเรียบร้อย พร้อมทำอาหารโฮมเมดอร่อยๆ ให้เราทานเป็นมื้อกลางวัน

Hitotema เสิร์ฟอาหารแบบเทโชคุหรืออาหารแบบเป็นเซ็ต ที่มีจานหลักและเครื่องเคียงต่างๆ ในราคา 1,100 เยน โดยเมนูจานหลักจะเปลี่ยนไปทุกเดือน แต่ละเดือนมีให้เลือก 3 เมนูซึ่งจะเขียนไว้บนกระดานชอล์ก เมนูที่เราชอบมาก (มากๆๆๆๆ) ก็คือแฮมเบิร์กทำจากผักตามฤดูกาล ในเซ็ตจะมีข้าว ซุปมิโสะใส่ผักหลากหลาย สลัด และเครื่องเคียง 4 จานที่มีส่วนประกอบเป็นผักทั้งหมด ซึ่งผักในร้านก็เก็บเกี่ยวจากฟาร์มของครอบครัวคุณมิสึกิและเกษตรกรท้องถิ่นค่ะ 

อาหารที่ Hitotema เราว่าเป็นอาหารแบบที่สามารถกินได้ทุกวันไม่มีเบื่อ รสชาติไม่จัดแต่ก็ไม่จืด ปรุงมาแบบที่ทำให้เราได้รสชาติของวัตถุดิบนั้นๆ อย่างเต็มที่ บรรยากาศในร้านเองก็ให้ความรู้สึกอบอุ่น มีนิตยสารและหนังสือภาพให้นั่งอ่านระหว่างรออาหารไปด้วย วันไหนที่เราเรียนเสร็จแต่ไม่รู้จะไปทานข้าวที่ไหนดี ก็จะปั่นจักรยานไปที่ร้าน Hitotema กินอาหารอร่อยๆ ซึมซับบรรยากาศอบอุ่นผ่อนคลายซักชั่วโมงนึง ก่อนจะเดินจูงจักรยานกลับบ้านหรือไม่ก็ไปนั่งทำงานที่ห้องสมุดโรงเรียนซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่

ข้อมูลร้าน Hitotema

แผนที่ร้าน: https://goo.gl/maps/a8bR8pNdPyUDrCRQ7

เวลาเปิด-ปิด: 11.00-16.00

การเดินทาง: นั่งรถบัสสาย 17 ลงป้าย Ginkakuji Michi เดินต่ออีก 5 นาที

Website: https://www.instagram.com/hitotema1001/


3. Demachi rororo (出町ろろろ)

สำหรับร้านที่สาม เราเปิดเจอจากหนังสือแนะนำที่กินที่เดินเล่นรอบเกียวโตค่ะ ตัวร้านเป็นบ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในซอยเงียบๆ ด้านหน้าแขวนมู่ลี่ไม้ไผ่ดูสะดุดตา และมีป้ายไม้ตั้งอยู่หน้าประตูเขียนแนะนำร้านสั้นๆ ว่าเป็น ‘ร้านเล็กๆ ที่ทำอาหารด้วยผักหลากหลายชนิดจากโอฮาระ’ โอฮาระที่่ว่านี้เป็นย่านทางตอนเหนือของเกียวโตค่ะ อยู่ในหุบเขาและมีพื้นที่ไร่นาอุดมสมบูรณ์  

เมนูซิกเนเจอร์ของร้าน Demachi rororo ก็คือเซ็ตข้าวกลางวันใส่มาในกล่องเบนโตะ ราคา 1,200 เยน เป็นกับข้าวอย่างละนิดละหน่อยจำนวน 10 อย่าง วางมาสวยงามเรียบร้อยในถาดไม้ กับข้าวส่วนใหญ่ก็เป็นผักและเต้าหู้ทั้งนั้นเลยค่ะ เช่น มะเขือเทศสดราดซอสมิโสะ สาหร่ายลวกปรุงรส ผักกาดต้มกับปลาข้าวสาร มันบดผสมผัก และไข่ม้วนราดซอสข้น เสิร์ฟมาพร้อมข้าวหุ่งกับหม้อดิน มีกลิ่นไหม้นิดๆ ทำให้เราอยากอาหารมากขึ้นไปอีกค่ะ ทุกจานปรุงรสแบบธรรมช้าดธรรมชาติ ที่วางตะเกียบของร้านนี้ก็สั่งทำพิเศษเป็นรูปตัว ろ (โระ) ตามชื่อร้านด้วยนะคะ ได้ยินมาว่า Demachi rororo เป็นที่นิยมของคนในพื้นที่ระดับหนึ่งเลย ดังนั้นถ้าใครจะมาพร้อมกันหลายๆ คนแนะนำให้โทรจองมาล่วงหน้า

ข้อมูลร้าน Demachi rororo

แผนที่ร้าน: https://goo.gl/maps/PicqoDQA2QvFMWmMA

การเดินทาง: จากสถานี Demachi Yanagi เดินต่ออีก 6 นาที

เวลาเปิด-ปิด: อังคาร-พฤหัสเปิด 11.30-16.00 ศุกร์-อาทิตย์แบ่งเป็นรอบกลางวัน 11.30-13.30 และรอบเย็น 18.00-20.30 ปิดทุกวันจันทร์

Website: https://www.instagram.com/demachi_rororo/


4. Goya

มาถึงอีกหนึ่งร้านประจำที่เราไปกินมานับครั้งไม่ถ้วน คำว่า Goya หมายถึงมะระญี่ปุ่น ซึ่งจะมีสีเข้มและมีผิวหยักๆ มากกว่ามะระแบบไทย เมนูที่นิยมจากมะระญี่ปุ่นคือ Goya Champuru (ゴーヤチャンプ) มะระผัดสไตล์โอกินาว่า แน่นอนว่าที่ Goya ก็มีเมนูนี้เป็นจานแนะนำของร้าน

Goya ขายอาหารสไตล์โอกินาว่าและอาหารเอเชียอื่นๆ มีทั้งปอเปี๊ยะสดแบบเวียดนาม รวมถึงผัดไทกับต้มยำกุ้งจากไทยแลนด์ ที่ Goya ไม่ได้มีแค่อาหารผักๆ อย่างเดียว แต่เราขอดึงเข้ามาอยู่ในลิสต์อาหารผักด้วย เพราะเวลาอยากทานมื้อเย็นแบบไม่หนักท้องเท่าไหร่ (บวกกับมีเมนูผักอร่อยๆ) เราก็จะชวนเพื่อนมาที่ร้านนี้ค่ะ 

สำหรับเมนูผักๆ ที่เราแนะนำคือ (1) Taco Rice ข้าวคลุกผัก หมูสับ มะเขือเทศและซอสทาโก้ โปะด้วยไข่ดาว กินมาหลายร้านเราว่าที่ Goya อร่อยที่สุดแล้ว (2) Goya Champuru มะระญี่ปุ่นผัดเต้าหู้ หอมใหญ่ หมูสไลด์และไข่สไตล์โอกินาว่า (3) Harumaki ปอเปี๊ยะสดสอดไส้เต้าหู้และสมุนไพรราดซอสมิโสะ ส่วนถ้าเป็นเมนูไม่ผัก เราขอแนะนำไก่ย่างซอสมิโสะสไตล์โอกินาว่าค่ะ อร่อยอย่าบอกใคร ส่วนขนมหวานต้องสั่งทาร์ตกล้วยวีแกน ดีงามที่สุด! 

ถ้าไปช่วงกลางวันจะมีเซ็ตมื้อเที่ยงชื่อว่า Nasi Champuru คือเป็นข้าวและรวมมิตรอาหารหลายๆ เมนูอย่างละนิดอย่างละหน่อยแล้วแต่ว่าวันนั้นเชฟจะทำอะไร ชื่อเมนูมาจากภาษาอินโดนีเซีย Nasi แปลว่าข้าว Champuru แปลว่ารวมมิตร เหมาะกับคนที่อยากลองหลายเมนูหรือขี้เกียจเลือกค่ะ (เพราะอันนี้เชฟเลือกมาให้เราแล้ว แฮ่) 

ข้อมูลร้าน Goya

แผนที่ร้าน: https://g.page/goya-asia?share

เวลาเปิด-ปิด: รอบกลางวัน 11.30-14.30 รอบเย็น 17.30-22.00 ปิดทุกวันพุธ

การเดินทาง: นั่งรถบัสสาย 17 ลงป้าย Kita Shirakawa เดินต่ออีก 2 นาที

Website: https://goya-asia.com

หมายเหตุ: เราเคยเห็นที่ร้านเค้าขายผักชีเป็นกำๆ ด้วยล่ะ


5. Cafe Ren (素食カフェRen 銀閣寺店)

เวลาที่ขี่จักรยานผ่านถนน Kitashirakawa ทีไรเราจะสะดุดตากับบ้านไม้สีน้ำตาลเข้มที่มีกระถางดอกไม้ด้านหน้าแห่งนี้ทุกที ลองอ่านป้ายด้านหน้าร้านคร่าวๆ เห็นว่าเป็นคาเฟ่วีแกนและมังสวิรัติ เอ้า! งั้นต้องเก็บเข้าลิสต์ของเราแล้วล่ะ ว่าแล้วก็เปิดประตูเข้าไปชิมอาหารกันดีกว่า

Cafe Ren แห่งนี้เป็นร้านอาหารเล็กๆ มีที่นั่งแบ่งเป็นสองฝั่ง คือฝั่งที่หันเข้าเคาน์เตอร์สำหรับคนที่อยากนั่งคุยกับเจ้าของร้านไปด้วย กับฝั่งที่หันหน้าออกไปทางถนนมองดูต้นไม้ด้านหน้าและรถวิ่งผ่านไปผ่านมา เราลองสั่งเซ็ตมื้อกลางวันราคา 1,200 เยน ซึ่งจะมีอาหารจานหลัก ข้าวกล้อง สลัดผัก และเครื่องเคียง 3 อย่าง สำหรับจานหลักจะเปลี่ยนเมนูตามแต่วัตถุดิบในแต่ละวัน อย่างวันที่เราไปก็มีเทมปุระผักรวมและเต้าหู้ราดซอสเผ็ด ไฮไลท์ของเซ็ตนี้คือซุป ‘Yakuzen (薬膳)’ ซุปใสซึ่งมีส่วนผสมเป็นสมุนไพรกว่า 15 ชนิดเคี่ยวในอุณหภูมิต่ำมากกว่าสองชั่วโมง แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกว่าดีต่อสุขภาพแล้วค่ะ นอกจากเซ็ตข้าวแล้วก็มีราเม็งซุปยาคุเซ็น และนาเบะยาคุเซ็นให้เลือกสั่งด้วยเช่นกัน

มาอ่านข้อมูลเพิ่มทีหลังถึงได้รู้ว่าเจ้าของร้านเป็นคนไต้หวันที่บินมาเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นเมื่อหลายปีก่อน แล้วก็พบรักแต่งงานกับสามีชาวญี่ปุ่นจนมาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ แต่ก่อนเธอไม่ได้ทานมังสวิรัติ แต่วันหนึ่งเกิดล้มป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับตับและต้องผ่าตัดครั้งใหญ่ หลังจากนั้นเธอจึงหันมาใส่ใจสุขภาพรวมถึงอาหารการกินมากขึ้น และเริ่มทานมังสวิรัติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาค่ะ สำหรับร้าน Cafe Ren นั้นเพิ่งเปิดเมื่อปี 2019 นี้เอง

ข้อมูลร้าน Cafe Ren (Kyoto)

แผนที่ร้าน: https://goo.gl/maps/z6aXP7W1aXn7a1FS6

เวลาเปิด-ปิด: 11.30-20.00 ปิดทุกวันอาทิตย์

การเดินทาง: นั่งรถบัสสาย 17 ลงป้าย Kita Shirakawa เดินต่ออีก 2 นาที ร้านอยู่ถัดจาก Goya มานิดเดียว

Website: https://cafe-ren-ginkakuji.therestaurant.jp


6. Kousagisha (菜食光兎舎)

สำหรับเราการค้นพบร้านนี้ค่อนข้างจะพิเศษซักหน่อย เพราะเป็นการเจอกันแบบบังเอิญในวันเกิดของเราเองค่ะ

ความจริงวันนั้นเราตั้งใจจะไปทานมื้อกลางวันที่ Cafe Ren แต่ว่าร้านปิด เลยกดกูเกิ้ลแมพสุ่มร้านมังสวิรัติแถวนั้นอยู่ที่หน้า Cafe Ren เลยนี่แหละ แล้วก็มาเจอร้าน Kousagisha แห่งนี้เข้าพอดี ขี่จักรยานไปไม่เกินห้านาทีก็ถึงแล้ว 

ร้าน Kousagisha เป็นอาคารสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นแกลเลอรี่ชื่อเดียวกัน ส่วนชั้นสองคือร้านอาหารมังสวิรัติ เราเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่เกือบทั้งบริเวณร้าน ส่วนด้านขวาเป็นเคาน์เตอร์ที่กั้นโซนครัวไว้อีกที เราไม่ได้จองที่มาก่อน แต่เพราะมาคนเดียวเค้าเลยหาที่นั่งให้ได้ตรงโต๊ะใหญ่ตรงกลางนั่นแหละ ผู้ร่วมโต๊ะของเรามีกลุ่มคุณลุงคุณป้าวัยสี่สิบ กลุ่มคุณน้าเพื่อนสาว และพี่สาวอีกคนที่ท่าทางจะเป็นคอลัมนิสต์จากนิตยสารซักที่ ถึงผู้ร่วมโต๊ะจะดูเยอะแต่ก็ไม่ได้อึดอัดอะไรเพราะทางร้านเว้นระยะห่างไว้พอเหมาะ มีแจกันปักกิ่งไม้รูปร่างสวยงามประดับอยู่กลางโต๊ะด้วย 

Kousagisha มีเมนูอาหารให้เลือกสองอย่าง คือเซ็ตข้าวราคา 2,200 เยน และเซ็ตแกงกะหรี่ราคา 1,700 เยน สำหรับเซ็ตข้าวจะเป็นกับข้าวหลายๆ อย่างที่ให้มาเต็มจาน ตัวอย่างเช่น เต้าหู้เทมเป้ราดซอส สลัดแครอท บ๊วยและผักห่อสาหร่าย เต้าหู้เย็น เสิร์ฟมาพร้อมซุปข้นจากมันเทศและผัก บอกเลยค่ะว่าถึงราคาจะแรงแต่ให้มาอย่างคุ้ม กินอิ่มแน่นอน รสชาติดีทุกอย่างแถมยังจัดจานมาอย่างสวยงามขึ้นกล้องสุดๆ บรรยากาศในร้านเองก็ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่มีสไตล์สมกับที่ชั้นหนึ่งเป็นแกลเลอรี่งานศิลปะ เรียกได้ว่าเป็นร้านที่เหมาะกับอาหารมื้อเที่ยงในวันพิเศษเลยล่ะ อ้อ ส่วนชื่อร้าน (น่าจะ) แปลว่าบ้านกระต่ายที่ส่องประกายค่ะ น่ารักจังเลยเนอะ

ข้อมูลร้าน Kousagisha (Kyoto)

แผนที่ร้าน: https://goo.gl/maps/3D8NumQG6sHkWPRB8

การเดินทาง: นั่งรถบัสสาย 17 ลงป้าย Jodoji  เดินต่ออีก 100 เมตร

Website: https://www.instagram.com/s.kousagisha/

หมายเหตุ: ตอนนี้ร้านปิดชั่วคราวค่ะ สามารถติดตามข่าวการเปิดร้านรอบใหม่ได้ทาง instagram


7. pooh’s?…cafe

ร้านอาหารชื่อน่ารักตั้งอยู่ริมคลอง เราพบเจอกับ pooh’s cafe ครั้งแรกจากหนังสือแนะนำร้านอาหารในเกียวโตค่ะ สะดุดตาตั้งแต่ชื่อร้าน รูปวาฟเฟิลและไอศกรีมน่าตาน่ากิน จนพอมาเปิดข้อมูลร้านดูเพิ่มเติมถึงได้เห็นว่าที่ pooh’s cafe ก็มีอาหารแบบผักๆ ซะด้วยล่ะ

บ่ายวันหนึ่งหลังจากที่เรานั่งทำงานที่ร้านกาแฟใกล้ๆ เสร็จแล้วก็มาทานมื้อเที่ยงต่อที่ pooh’s cafe ค่ะ เมนูที่เราแนะนำคือ Obanzai Set ราคา 900 เยน โดยเราสามารถเลือกโอบันไซได้ 3 อย่าง (โอบันไซคืออาหารสไตล์เกียวโตที่ทำจากวัตถุดิบท้องถิ่นในฤดูกาลนั้นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผักหรืออาหารทะเล) ซึ่งทางร้านจะเสิร์ฟมาในถาดยาวๆ พร้อมข้าวและซุปมิโสะ กระซิบบอกนิดนึงว่าถ้าอ่านชื่อโอบันไซในเมนูไม่ออกก็ถามคุณเจ้าของร้านได้เต็มที่เลยนะคะ เธอยินดีอธิบายทุกเมนูเลย 

โอบันไซที่เราสั่ง 3 อย่างในวันนั้นมีแครอทผัดไข่ รากบัวผัดหมูสับ สลัดกุ้งกับถั่วและแตงกวา รสชาติดีทั้งสามอย่าง เหมาะกับคนชอบกินผักแต่อยากกินหลายๆ เมนูอย่างเราที่สุด! นอกจากโอบันไซเซ็ตแล้ว ที่ร้านก็มีพาสต้าและ Taco rice ให้เลือกสั่งด้วย หรือถ้าใครไม่อิ่มก็สั่งวาฟเฟิลมากินต่อได้เช่นกันนะ 

ข้อมูลร้าน pooh’s?…cafe

แผนที่ร้าน: https://g.page/pooh-s–cafe?share

เวลาเปิด-ปิด: 11.00-19.00 ปิดทุกวันพุธ

การเดินทาง: นั่งบัสสาย 206 ลงป้าย Chion-in mae เดินต่ออีก 4 นาที

Website: https://www.instagram.com/poohs.cafe/


8. KULM

ปิดท้ายกันด้วยร้านอาหารนอกตัวเมืองเกียวโต นั่งบัสขึ้นไปบนภูเขาโอฮาระ นั่งชมวิวแมกไม้ข้างทางไปราวชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว 

KULM เป็นร้านอาหารเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขา เปิดเมื่อปลายปี 2018 ที่นี่เสิร์ฟอาหารจากวัตถุดิบในท้องถิ่น อาหารรสชาติดี และบรรยากาศในร้านก็ดีมากๆ เช่นกันค่ะ ฝั่งหนึ่งของร้านเป็นหน้าต่างกระจกสูงรับแสงแดดยามเช้าที่ส่องกระทบดอกไม้ในแปลงฝั่งตรงข้าม ส่วนอีกด้านเป็นวิวแม่น้ำและต้นไม้ในป่าเขียวครึ้ม ระหว่างรออาหารก็นั่งชมวิวฟังเพลงภาษาฝรั่งเศสคลอเบาๆ ไปด้วย

สำหรับเมนูของที่นี่จะเปลี่ยนทุกวัน (เรียกว่า Today’s special) อย่างวันที่เราไปเป็นข้าวกับแกงกะหรี่ เป็ดย่าง ซุปฟักทองแบบเย็น แน่นอนว่าเสิร์ฟมาพร้อมเครื่องเคียงผักโบ้มๆ ทั้งสลัดแครอท ผักใบเขียว เห็ด และเมียวงะหรือขิงญี่ปุ่นชุบแป้งทอด แล้วก็สั่งเลมอนเนดสูตรเฉพาะของทางร้านมาเป็นเครื่องดื่มดับร้อน นอกจากเมนูอาหารจานเดียวแล้ว ที่ KULM ก็มีพิซซ่าโฮมเมดและขนมหวานหน้าตาน่ากินอีกหลายอย่างเลย อ้อ ที่นี่มีขายคราฟต์เบียร์จากโรงเบียร์ในเกียวโตด้วยล่ะค่ะ

KULM เป็นร้านอาหารผักๆ อีกร้านที่เราดีใจมากที่ได้เจอ และอยากจะกลับไปกินอีกหลายๆ ครั้ง เสียดายที่เจอร้านนี้ตอนใกล้จะกลับไทยแล้ว ร้านอื่นๆ อีก 7 ร้านด้านบนก็เช่นกัน หวังว่าคุณจะชอบร้านที่เราแนะนำไป และถ้ามีโอกาสก็ไปทานอาหารผักๆ ที่เกียวโตเผื่อเราด้วยนะคะ :)) 

ข้อมูลร้าน KULM (Kyoto)

แผนที่ร้าน: https://g.page/kulm-575?share

เวลาเปิด-ปิด: 11.30-16.00

การเดินทาง: นั่งบัสสาย 16 หรือ 19 ลงป้าย Umenomiya Mae เดินต่ออีก 4 นาที

Website: https://kulm.kyoto