มีใครเชื่อเรื่องพรหมลิขิตกันไหมคะ โนเองไม่เคยเชื่อมาก่อน แต่แล้วจังหวะและเวลาก็นำพาให้เราสองคนได้มาเจอกัน
18 มิถุนายน 2017
ขณะที่เราไปออกทริปกันที่หัวหินกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่คณะอักษร จุฬา จู่ๆเพื่อนคนนึงในกลุ่มก็ชวนไปไหว้พระที่วัดถ้ำเขาเต่า ซึ่งเป็นวัดที่ครอบครัวของเพื่อนนับถือมากๆ เมื่อเราไปถึงวัดซึ่งอยู่บนเชิงเขาติดทะเล ก็ค่อยๆเดินขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อที่จะไปชมวิวทะเลสวยงาม ระหว่างทางมีสิ่งศักสิทธิ์ให้กราบไหว้มากมาย
ขากลับเพื่อนคนนั้นก็ชวนเข้าไปกราบไหว้องค์พระอีกองค์ ซึ่งอะไรดลใจไม่รู้เพราะอยู่ๆเราก็ขอกับท่านว่า หากมีใครจะเข้ามาขอให้เป็นเนื้อคู่ที่จะได้แต่งงานกัน และหากเป็นไปได้ขอเป็นคนญี่ปุ่น เผื่ออนาคตจะได้ไปอยู่ญี่ปุ่นใกล้กับคุณยาย หากได้เจอแล้วจะพากลับมาไหว้ท่านค่ะ
15 กรกฎาคม 2017
หลังจากที่ไปขอพรก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ ช่วงนั้นแอบเครียดเรื่องงานประจำที่ทำอยู่ ซึ่งตอนนั้นโนทำงานอยู่ที่บริษัทญี่ปุ่นในไทยแห่งหนึ่ง วันนั้นจำได้ว่าไปเรียนเพิ่มเติมที่คณะบัญชี จุฬา เป็นหลักสูตรสำหรับคนนอก เรียนสั้นๆแค่เสาร์อาทิตย์ ระหว่างพักเที่ยงหลังทานข้าวเสร็จและยังมีเวลาก่อนคลาสบ่ายเล็กน้อย โนจึงโทรหาเพื่อนร่วมงานที่อยู่สาขาญี่ปุ่น ชื่อ “แม็กกี้” ซึ่งเป็นคนไทยที่ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่มัธยมปลายอยู่ยาวจนเข้าทำงานที่ญี่ปุ่น เมื่อโนโทรหาว่าทำอะไรอยู่ พอจะปรึกษาเรื่องย้านงานได้ไหม แม็กกี้เลยบอกว่าเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยมาหาที่บ้าน เปิดกล้องสิ เดี๋ยวแนะนำให้รู้จักกัน
แม็กกี้แนะนำว่าเพื่อนคนนี้ชื่อ โชเฮ เป็นลูกเจ้าของร้านดอกไม้ ที่จังหวัดอิวาเตะ แต่ตอนนี้เป็นพนักงานออฟฟิศที่โตเกียวอีกไม่นานจะกลับไปช่วยกิจการที่บ้าน ตอนนั้นแม็กกี้รู้ว่าโนเองชอบและจัดดอกไม้เป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว เลยอยากให้เราได้รู้จักกันไว้ เผื่อช่วยเหลือกิจการร้านดอกไม้ของโชเฮได้ เมื่อโชเฮกลับไปสานต่อ เลยให้เราสองคนได้แลกไลน์กันไว้
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเราสองคนที่มีเพื่อนเป็นสื่อกลาง น่าแปลกที่คนสองคนอยู่กันคนละประเทศ แถมไม่น่าจะรู้จักกันได้ แต่กลับได้รู้จักกันด้วยจังหวะของการโทรและดอกไม้ที่เราชอบเหมือนกัน
17 กรกฎาคม 2017
โนยอมรับว่าจริงๆแล้วแอบตกหลุมรักโชเฮตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า ถึงจะไม่ใช่สเปคแต่นางหล่อ ดูใจดี ที่สำคัญผู้ชายที่ชอบดอกไม้น่าจะมีจิตใจอ่อนโยน หลังจากที่แลกไลน์กัน เราก็คุยกันเหมือนเพื่อนปกติ โนก็ถามเกี่ยวกับอาหารไทยที่โชเฮชอบ เพราะรู้มาว่าโชเฮเคยไปเที่ยวเมืองไทยครั้งนึงกับแม็กกี้ตอนเรียนจบมหาวิทยาลัย หลังจากคุยผ่านแชทได้เพียงวันเดียว วันต่อมามีบทสนทนานึงที่ถามว่าโชเฮรู้จักภาษาไทยอะไรบ้าง โชเฮเลยบอกว่าไว้คืนนี้โทรคุยกันน่าจะดีกว่า
โทรคุยครั้งแรกก็จะเขิลๆหน่อย ไปๆมาๆกลายเป็นว่าเปิดกล้องคุยกัน ซึ่งโชเฮตกใจมากๆที่เรายอมเผยหน้าสดให้เห็น เพราะถ้าเป็นผู้หญิงญี่ปุ่นไม่มีทางที่จะให้เห็นหน้าสดแน่ๆ ตอนหลังโชเฮเลยมาเล่าให้ฟังว่า ประทับใจที่โนเป็นคนเปิดเผย และดูจริงใจ โนเองก็มารู้ตอนหลังว่าปกติโชเฮเป็นคนที่ง่วงนอนตั้งแต่หัวค่ำ แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่คุยกับโนล้วนเป็นสิ่งที่โชเฮไม่เคยรู้มาก่อน โชเฮซึ่งเป็นคนที่สนใจสิ่งใหม่ๆก็เลยรู้สึกสนุกที่จะได้รู้เรื่องประเทศไทยที่ตัวเองไม่ค่อยรู้จักมาก่อน ทำให้เราไลน์คุยกันทุกวัน จนต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกดีๆให้กัน เอ๊ะ!!หรือโนแอบชอบฝ่ายเดียว อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ
11 สิงหาคม 2017
จำได้ว่าช่วงนั้นไปหาคุณยายที่โอซาก้า เพราะเป็นช่วงหยุดยาววันแม่พอดี ประจวบเหมาะกับที่เจ้านายญี่ปุ่นส่งเมลมาคอนเฟิร์มว่าให้ไปคุยงานที่บริษัทแม่ที่โตเกียวช่วงวันที่23 – 25สิงหาคม โนเลยไลน์หาโชเฮว่า
โน : เดี๋ยวช่วง23-25ส.ค.มีไปคุยงานที่บริษัทแม่ที่โตเกียวนะ
โชเฮ : จริงดิ แล้วจะมีเวลาได้เจอกันไหม?
โน : คิดว่าน่าจะได้อยู่นะ เพราะ26กับ27เป็นเสาร์อาทิตย์พอดี
โชเฮ : มีอยากไปไหนไหม? เห็นมาญี่ปุ่นบ่อยแล้วเผื่อ
มีตรงไหนอยากไปจะได้ไปเป็นเพื่อน
โน : อือ ไม่รู้อะ แล้วโชเฮอยากพาไปไหนละ?
โชเฮ : อืม…ขอไปหาแปปนึงนะ เดี๋ยวมาเสนอ
“งานเทศกาลปลาทอง แล้วต่อด้วยไปดูพลุไหม?”
ช่วงหน้าร้อนพอดี🎆 แล้วโนจะใส่ยูกะตะไหมอะ
โน : ใส่ได้นะ ถ้าโชเฮใส่ด้วย
โชเฮ : จริงหรอ!! ใส่ๆแต่ผมขอใส่เป็นJinbei(甚平) นะ
* จิงเบอิ คือ ชุดคล้ายยูกะตะแต่ท่อนล่างเป็นกางเกง
และนี่เป็นบทสนทนาที่เราสองคนนัดเจอกันครั้งแรกหลังจากที่รู้จักกันมาเกือนเดือน โชคดีที่ตอนนั้นอยู่บ้านคุณยายพอดี โนเลยรื้อชุดยูกาตะตัวโปรดที่คุณยายตัดให้ นำกลับไทยไปก่อนเพื่อที่จะได้ไปใส่ตอนออกเดทครั้งแรกกับโชเฮที่โตเกียว ในวันที่ 26 สิงหาคมที่จะถึงนี้ . . . ไม่รู้ว่าโชเฮจะใช่เนื้อคู่ที่โนเคยได้ไปไหว้ขอไว้รึเปล่านะ
สำหรับเดทแรกจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามอ่านได้เร็วๆนี้ใน EP.2
สำหรับท่านที่อยากดูเป็นเวอร์ชั่นเล่าพร้อมคลิปตอนนั้น สามารถเข้าไปดูกันได้ที่คลิปนี้ค่ะ