5 วัน 4 คืน Road trip โทโฮคุตอนเหนือ ตอนที่ 1

Road trip


ทริปขึ้นเครื่องบินออกเดินทางสู่ภูมิภาคโทโฮคุ อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่อยากแนะนำเมื่อมีโอกาสมาเที่ยวญี่ปุ่น

ทริปโทโฮคุตอนเหนือออกเดินทางสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ

ภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) เป็นภูมิภาคที่อยู่ทางเหนือเกาะฮนชู (Honshu) ประกอบไปด้วย 6 จังหวัดด้วยกัน โดยครั้งนี้เราจะเน้นเที่ยวเฉพาะในโซนของโทโฮคุตอนเหนือ ตั้งแต่จังหวัดอาโอโมริ (Aomori) จังหวัดอาคิตะ (Akita) และจังหวัดอิวาเตะ (Iwate) หลายท่านคงจะจินตนาการตามกันแล้วใช่ไหมคะว่าภูมิภาคนี้มีอะไรที่น่าเที่ยวบ้าง ทริปนี้จึงตั้งใจแนะนำให้เพื่อนๆ ที่ไม่เคยรู้จักโทโฮคุตอนเหนือกันมาก่อน ได้รู้ว่าภูมิภาคนี้มีเสน่ห์ และเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าสนใจมากๆ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติที่สวยงาม อาหารประจำท้องถิ่น วัฒนธรรมประเพณี รวมไปถึงกิจกรรมที่หาทำที่ไหนไม่ได้นอกจากที่นี่ ซึ่งจะได้ประสบการณ์ใหม่ๆ อะไรบ้างนั้นเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปด้วยกันเลยค่ะ

โดยทริปนี้เราออกเดินทางด้วยการนั่งเครื่องบินจากสนามบินฮาเนดะ (Haneda Airport) มุ่งหน้าสู่สนามบินอาโอโมริ (Aomori Airport)จากนั้นใช้เวลาราวๆ 30 นาที โดยรถยนต์เพื่อไปยังจุดหมายแรกของทริปนี้กันค่ะ

พิพิธภัณฑ์โคมไฟทะชิเนปุตะ (Tachineputa Museum)

หากพูดถึงเทศกาลฤดูร้อนประจำจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) หลายท่านอาจจะเคยได้ยินเทศกาลเนบุตะ (Aomori Nebuta Festival) กันมาบ้างใช่ไหมคะ แล้วเพื่อนๆ ทราบกันไหมคะว่าเนบุตะนั้นยังสามารถแบ่งแยกย่อยไปตามเมืองต่างๆ ในจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) อีกกว่า 40 ชนิดด้วยกัน โดยเทศกาลเนบุตะนั้นถือเป็น 1 ใน 3 เทศกาลสุดยิ่งใหญ่ประจำฤดูร้อนในแถบโทโฮคุเลยก็ว่าได้ค่ะ ซึ่งมีลักษณะเป็นโคมไฟขนาดใหญ่ ทำจากกระดาษสาคุณภาพดี นำมาเพ้นท์เป็นรูปต่างๆ อาทิเช่น ซามูไร ยักษ์ ปีศาจ ปลาทอง และอื่นๆ โดยชาวเมืองจะใช้เวลาเตรียมงานก่อนถึงวันเทศกาลราวๆ 1 ปีด้วยกัน

วันนี้มีโอกาสได้พาทุกท่านมาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์โคมไฟทะชิเนปุตะ ที่เมืองโกะโชะงะวะระ (Goshogawara) จังหวัดอาโอโมริ (Aomori) ค่ะ โคมไฟของที่นี่มีเอกลักษณ์ตรงที่เป็นชนิดทรงสูง ซึ่งมีความสูงถึง 23 เมตร ประมาณตึก 5 ชั้น นับว่าเป็นต้นแบบของเนบุตะทั้งหมด แถมยังเรียกว่า “เนปุตะ” (Neputa) ซึ่งแตกต่างจากที่อื่นด้วย ส่วนภายในพิพิธภัณฑ์มีห้องจัดนิทรรศการ มีแกลลอรี่ที่รวบรวมผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงของจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) มีสตูดิโอเปิดที่สามารถชมการทำโคมไฟได้อย่างใกล้ชิด มีห้องทำเวิร์คช็อป คาเฟ่ รวมไปถึงร้านขายของฝากเดินกันเพลินเลย

ครั้งนี้โนลองทำเวิร์คช็อป คิงเกียวเนปุตะ (Kingyo Neputa) หรือ เนปุตะปลาทอง โดยมีเซนเซ หรือคุณครูคอยให้คำแนะนำ และดูแลตั้งแต่เริ่มต้นจนจบชิ้นงานอย่างใกล้ชิด แถมยังสามารถเลือกสีสันได้หลากหลาย โดยเฉพาะสีแดง-ขาวที่โนเลือกเพ้นท์นั้น เซนเซกระซิบว่าเป็นสีมงคลสำหรับคนญี่ปุ่นด้วยค่ะ หากทำเสร็จแล้วเซนเซจะแพ็คลงกล่องอย่างดี แต่เราห้ามนำออกมาจนกว่าจะถึงที่พักคืนนี้ไม่เช่นนั้นสีอาจจะเปื้อนติดเสื้อได้

ค่าเข้าชม : แพ็คเก็จห้องจัดนิทรรศการและแกลลอรี่

ผู้ใหญ่ 850 เยน

นักเรียนมัธยมปลาย 500 เยน

นักเรียนมัธยมต้น 300 เยน

เวลาเปิดทำการ : เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันที่ 1 มกราคมของทุกปี

เดือนเมษายน – กันยายน ตั้งแต่เวลา 09:00 – 19:00 น.

เดือนตุลาคม – มีนาคม ตั้งแต่เวลา 09:00 – 17:00 น. (ช่วงเวลาที่เปิดถึง 17:00 เป็นเวลาแบบชั่วคราว)

(วันที่ 31 ธันวาคม เปิดให้บริการถึง 15:00 น. และในส่วนของเลานจ์ชมวิวจะปิดเวลา 21:00 น. ระหว่างเดือนเมษายนถึงตุลาคม)

เวิร์คช็อปมีให้เลือกมากมายวันนี้โนเลือกทำคิงเกียวเนปุตะค่ะ

คนละ 1,200 เยน 60 – 90 นาที

รอบเช้า 10:00 – 12:30 น.

รอบบ่าย 13:30 – 16:00 น.

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : http://tachineputa.jp

พิกัดของพิพิธภัณฑ์โคมไฟ : https://goo.gl/maps/CHaLnSLoLVSVjwoh8


ร้านจูซูชิ (Ju Sushi)

ได้เวลามื้อเที่ยงพอดีเราจึงเดินจากพิพิธภัณฑ์โคมไฟทะชิเนปุตะ (Tachineputa Museum) ประมาณ 5 นาที ก็ถึงร้านจูซูชิ (Ju Sushi) ซึ่งเป็นร้านซูชิท้องถิ่นที่เปิดมานานกว่า 40 ปี จุดเด่นของร้านนี้คือใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ สามารถรับประทานมื้อกลางวันได้ในราคาย่อมเยา สำหรับเมนูขึ้นชื่อของร้านนี้มีทั้งหมด 4 เมนูด้วยกัน แต่ละเมนูจะเป็นเมนูเฉพาะของที่ร้านคิดขึ้นมาเองอีกด้วย

เมนูแรก ยัตเตะมาเระด้ง (Yatte Mare Don)
เป็นเมนูข้าวหน้ารวมมิตรทะเล คำว่า “ยัตเตะมาเระ” เป็นภาษาท้องถิ่น แปลว่า สู้ๆ เขา มักตะโกนกันตอนที่เคลื่อนขบวนโคมไฟทะชิเนปุตะในเทศกาลฤดูร้อน

เมนูถัดมา นาดาเระมากิ (Nadare Maki)
นำข้าวมาปั้นเป็นชิ้นพอดีแล้วนำมาซ้อนเป็นทรงสูง จากนั้นท็อปปิ้งด้วยไข่หอยเม่น ไข่ปลาแซลมอน เนื้อปูแกะ และโรยด้วยต้นหอม คำว่า “นาดาเระ” หมายถึง การไหล ทางร้านอยากจะสื่อว่าท็อปปิ้งให้เยอะมากจนไหลลงมา

เมนูที่สาม โมสึเคะมากิ (Motsuke Maki)
เป็นข้าวห่อสาหร่ายทรงกระบอกขนาดใหญ่ หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ หรือ ที่เรียกกันว่าฟุโตมากิ (Futo Maki) ใส่เครื่องต่างๆ หลากสีสัน คำว่า “โมสึเคะ” หมายถึง คนที่ชอบสร้างเสียงหัวเราะกับเพื่อนฝูง

เมนูสุดท้ายที่แนะนำ คือ มากุโระคะรุบิด้ง (Maguro Karubi Don)
เมนูข้าวหน้าปลามากุโระลนไฟ ราดซอสสูตรเด็ด โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย หากหลับตารับประทานจะไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็นเนื้อปลา หรือเนื้อวัว เพราะรสชาติใกล้เคียงกันเลย ก่อนออกเดินทางต่อไปยังเมืองอื่น อย่าลืมแวะถ่ายรูปฝาท่อน้ำของเมืองโกะโชะงะวะระ (Goshogawara) ซึ่งเป็นลายทะชิเนปุตะ (Tachineputa) ด้วยนะคะ

เวลาเปิดทำการ : เปิดให้บริการทุกวัน 11:30 – 22:00 น. (Lunch set 11:30 – 14:00 น.)

พิกัดของร้านจูซูชิ : https://goo.gl/maps/oXwfCWuXu1b4HXm46

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :  https://shigezushi.cloud-line.com


บริการพายแอปเปิ้ลแท็กซี่ (Apple Pie Taxi)

หลังจากที่รับประทานเมนูอาหารคาวอิ่มเรียบร้อย ต้องเติมของหวานกันสักหน่อย เราจึงออกเดินทางต่ออีกประมาณ 40 นาที มุ่งหน้าไปยังเมืองฮิโระซะกิ (Hirosaki) ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองแห่งแอปเปิ้ล” ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) และเป็นแหล่งผลิตแอปเปิ้ลที่มีปริมาณมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยมีสัดส่วน 20% ของผลผลิตทั้งประเทศ แทบไม่ต้องแปลกใจเลยนะคะว่า เราสามารถพบเห็นสิ่งที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปแอปเปิ้ลมากมาย โดยเฉพาะร้านแอปเปิ้ลพายที่มีจำนวนมากถึง 50 ร้านในเมืองนี้ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะว่าจะเลือกทานร้านไหนดี เพราะมีตัวช่วยนั่นก็คือ แท็กซี่ท้องถิ่น “Apple Pie Concierge” โดยเราสามารถนัดรถมารับ ณ จุดไหนก็ได้ภายในเมืองฮิโระซะกิ (Hirosaki) โดยจุดสังเกตของรถ Apple Pie Taxi คือด้านบนรถจะมีสัญลักษณ์เป็นผลแอปเปิ้ลที่มีสายรัด หรือโอบิที่ทำจากแป้งพายรัดอยู่ คนขับแท็กซี่เป็นผู้หญิงที่ผ่านการสอบคัดเลือกเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านพายแอปเปิ้ลโดยเฉพาะ และพวกเธอจะใช้ชื่อเรียกแทนตัวเองว่า “ซากุระโคะมะจิ” (Sakura Komachi) ซึ่งเป็นที่มาของผ้าพันคอลายซากุระนั่นเองค่ะ

เพียงแค่บอกความต้องการว่าเราชอบรับประทานพายแอปเปิ้ลแบบไหน รสชาติอย่างไร พวกเธอก็สามารถพาเราไปถึงหน้าร้านนั้นๆ ได้ ซึ่งร้านส่วนใหญ่จะเป็นร้านแบบซื้อกลับบ้าน แท็กซี่จึงพาเราไปยังร้านต่างๆ ได้หลายร้านในคราวเดียวกัน นอกจากจะให้รายละเอียดในเรื่องร้านพายแอปเปิ้ลแล้ว ยังสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวระหว่างทางภายในเมืองฮิโระซะกิ (Hirosaki) ได้ โดยที่เราสามารถขึ้นและลงแท็กซี่ที่จุดไหนก็ได้ภายในเมืองนี้ด้วย

ค่าบริการ Apple Pie Concierge :

30 นาที 2,810 เยน ประมาณ 1 ร้าน

60 นาที 5,620 เยน ประมาณ 1 – 2 ร้าน

90 นาที 8,430 เยน ประมาณ 2 – 4 ร้าน

120 นาที 11,240 เยน ประมาณ 3 – 5 ร้าน

ค่ารถแท็กซี่ : ฟรี

เวลาเปิดทำการ : เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09:00 – 16:00 น.

โทรจอง : 0172-33-3333

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://peraichi.com/landing_pages/view/apc/

ร้านแรก คนขับจึงพามาที่ร้าน Noel de HIROSAKI เป็นร้านที่ได้รับเลือกให้เป็นแบรนด์สินค้าขึ้นชื่อของเมืองฮิโระซะกิ (Hirosaki) ประจำปี ค.ศ. 2002 โดยได้รางวัลชนะเลิศจากการประกวดพายแอปเปิ้ลประจำปีนั้นด้วย พายแอปเปิ้ลชิ้นนี้ราคา 370 เยน อัดแน่นไปด้วยแอปเปิ้ลสายพันธุ์ฟูจิชิ้นโต ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักของเมืองนี้ รสชาติกลมกล่อมไม่หวานหรือเปรี้ยวจนเกินไป ที่สำคัญมีกลิ่นอบเชยกำลังดี

วลาเปิดทำการ : ตั้งแต่เวลา 09:00 – 18:30 น.

วันหยุด : วันอังคาร

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://noel-de-hirosaki.com

พิกัดของร้าน Noel de HIROSAKI : https://goo.gl/maps/x3bnJRkYHPU5vCps5

ร้านที่ 2 คนขับพาเรามาที่ร้าน Cafe & Restaurant BRICK Museum Shop HIROSAKI MOCA เป็นคาเฟ่ที่เปิดเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2020 พร้อมกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยแห่งเมืองฮิโระซะกิ โดยได้รับการบูรณะจากโรงงานผลิตสาเกที่สร้างขึ้นมาในสมัยเมจิ สำหรับ HIROSAKI BRICK APPLE PIE ชิ้นนี้ราคา 700 เยน นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่น่ารักมากๆ แล้ว รสชาติก็ยังอร่อยด้วยค่ะ โดยตัวไส้ของพายนั้นเป็นคัสตาร์ดแอปเปิ้ลส่งกลิ่นหอมหวาน สัมผัสกรอบนอกนุ่มใน คนชอบพายแอปเปิ้ลแบบนี้คงจะฟินน่าดู

เวลาเปิดทำการ : ตั้งแต่เวลา 09:00 – 22:00 น. (L.O. 21:00)

วันหยุด : วันอังคาร และ วันหยุดตามมิวเซียม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :  https://hirosaki-brick.com

พิกัดของร้าน Cafe & Restaurant BRICK Museum Shop HIROSAKI MOCA https://goo.gl/maps/j2UZ9LLqYtvqRfyj8


รถไฟรีสอร์ทชิราคามิ (Resort Shirakami)

เราขอให้ Apple Pie Taxi มาส่งหน้าสถานีรถไฟ JR Hirosaki เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่เราจะพักแรมกันในคืนนี้ โดยเราเลือกนั่งรถไฟ Joyful Train ที่เป็นมากกว่ายานพาหนะ เพราะเราจะได้รับประสบการณ์ระหว่างการเดินทางแบบใหม่ๆ โดยเรานั่งรถไฟรีสอร์ทชิราคามิ (Resort Shirakami) เป็นรถไฟสายโกโน (Gono Line) วิ่งจากสถานี Aomori ไปยังสถานี Akita รถไฟรีสอร์ทชิราคามิ (Resort Shirakami) มีทั้งหมด 3 ขบวนด้วยกัน แต่ละขบวนจะมีชื่อเรียกต่างกันไป คือ อะโออิเคะ (Aoike), คุมะเกะระ (Kumagera) และบุนะ (Buna) การที่มีมากถึง 3 ขบวนนี้จึงทำให้สามารถเปิดบริการได้ทุกวัน

สำหรับประสบการณ์ระหว่างการเดินทางบนรถไฟขบวนนี้ มีตั้งแต่การแสดงดนตรีโดยใช้เครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมสึกะรุซามิเซ็ง (Tsugaru Shamisen) การเล่าเรื่องตำนานท้องถิ่น และละครหุ่นเชิดแบบดั้งเดิมของผู้คนในท้องถิ่นนี้ ทั้งนี้ตารางการแสดงต่างๆ ของแต่ละวันหรือแต่ละขบวนจะแตกต่างกันไป ดังนั้นควรเช็คข้อมูลล่วงหน้าในเว็บไซต์ก่อนเดินทางด้วยนะคะ ซึ่งในวันนั้นหลังจากที่นั่งรถไฟมาสักระยะหนึ่ง รถไฟของเราก็วิ่งเลียบชายหาดริมเทือกเขาชิราคามิ (Mt. Shirakami) หากวันไหนอากาศดี จะได้ชมพระอาทิตย์ตกที่ทะเลเป็นภาพที่สวยงามมากๆ  และหลังจากที่นั่งรถไฟเป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งเราก็มาลงรถไฟที่สถานี JR WeSpa Tsubakiyama จากนั้นจะมีชัทเทิลบัสของโรงแรมมารับ
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.jreast.co.jp/e/joyful/shirakami.html


โคะกะเนะซะกิฟุโระฟุชิอนเซ็น (Koganezaki Furofushi Onsen)

หลังจากออกเดินทางมาทั้งวันแล้ว ค่ำคืนแรกเราจะเข้าพักที่โคะกะเนะซะกิ ฟุโระฟุชิ อนเซ็น ตั้งอยู่เมืองฟุคะอุระมะจิ (Fukauramachi) จังหวัดอาโอโมริ (Aomori) เป็นหนึ่งในอนเซ็นขึ้นชื่อว่าวิวสวยอีกแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นค่ะ เพราะจุดเด่นของที่นี่คือบ่ออนเซ็นกลางแจ้งตั้งอยู่ริมทะเล โดยแยกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งบ่อรวมชายหญิง และบ่อหญิงล้วน แร่ธาตุของน้ำในอนเซ็นแห่งนี้มีแร่เหล็กปนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้น้ำในอนเซ็นออกมาเป็นสีน้ำตาล และมีกลิ่นเหล็กโชยออกมา สำหรับสุภาพสตรีที่อยากแช่บ่อรวม ทางโรงแรมจะมีผ้ากระโจมอกไว้ให้บริการด้วย เนื่องจากบริเวณนี้เป็นเขตมรดกโลกทางธรรมชาติจึงไม่สามารถติดตั้งเสาไฟฟ้าได้ ดังนั้นเวลาเปิด – ปิด ของอนเซ็นกลางแจ้งแห่งนี้จึงขึ้นกับความสว่างของท้องฟ้าด้วยค่ะ

นอกจากอนเซ็นแล้ว ห้องพักที่นี่ก็มีทั้งห้องสไตล์ญี่ปุ่น ห้องสไตล์ตะวันตก รวมถึงห้องที่ผสมผสานสไตล์ญี่ปุ่นกับตะวันตกเข้าด้วยกัน เช่นห้องที่ปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิแต่ก็มีเตียงนอนไว้ให้บริการด้วย และในส่วนของอาหารนั้นหายห่วง เพราะเป็นเมืองติดทะเลทำให้มีอาหารทะเลสดใหม่มาเสิร์ฟ นอกจากนั้นวัตถุดิบที่ต้องขอแนะนำเลยนั่นคือ ฟุคะอุระ ยุกิ – นินจิน (Fukaura Yuki Ninjin) เป็นแครอทที่เจริญเติบโตใต้หิมะปกคลุม ต่างจากแครอททั่วไปตรงที่รสชาติจะหวานกว่าและกลิ่นไม่แรง เนื่องจากแครอทต้องสะสมน้ำตาลให้มากกว่าน้ำเพื่อไม่ให้เซลล์ถูกทำลายจากการแข็งตัวของน้ำ จึงทำให้แครอทเหล่านี้มีน้ำตาลมากกว่าแครอททั่วไป

ค่าบริการ :

เข้าแช่น้ำแบบไม่ค้างคืน ผู้ใหญ่ 600 เยน เด็ก 300 เยน

ราคาที่พักขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในการจอง กรุณาเช็คที่เว็บไซต์

เวลาเปิดทำการ :

เข้าแช่น้ำแบบไม่ค้างคืน 08:00 – 20:00 น.

(ทั้งนี้บ่อแช่น้ำกลางแจ้งริมทะเลเปิดรับถึง 15:30 น. และปิดทำการ 16:00 น.)

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.furofushi.com/english/

พิกัดของโคะกะเนะซะกิฟุโระฟุชิอนเซ็น https://goo.gl/maps/nabaZ26KAhCtbXnh8

พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวเราจะตื่นมาชมอนเซ็นกลางแจ้งวิวริมทะเล พร้อมชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้ากันค่ะ

สำหรับค่ำคืนแรกขอตัวไปนอนพักผ่อนก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ