Tokamachi Trip Part1

เสพงานอาร์ตชมธรรมชาติที่โทคะมะจิ ตอนที่ 1

หลังจากที่อยากไปเที่ยวจังหวัดนีงาตะมาสักพักใหญ่ๆ ในที่สุดเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาก็ได้ฤกษ์เจิมจังหวัดนี้เป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจหลายเมือง ครั้งนี้เราเลยขอเน้นเที่ยวเฉพาะเมืองโทคะมะจิซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องงานอาร์ตเป็นระยะเวลา 5 วัน 4 คืน ถือเป็นทริปที่สนุกสุดๆ เลยล่ะค่ะ

เมืองโทคะมะจิ เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดนีงาตะ อยู่ห่างจากโตเกียวโดยนั่งรถไฟชินคันเซ็นประมาณ 2 ชั่วโมง หากขับรถยนต์ก็ประมาณ 3 ชั่วโมง และอยู่ห่างจากเมืองเอจิโกะยูซะวะที่ขึ้นชื่อเรื่องการเล่นสกีโดยนั่งรถไฟธรรมดาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น เมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่มีหิมะตกเยอะที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ในช่วงฤดูหนาวหิมะจะกองสูงถึง 2 – 3 เมตร เรียกได้ว่าต้องเปลี่ยนทางเข้า-ออกบ้านจากหน้าต่างชั้น 2 กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยว Unseen หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นความงามของป่าต้นบีชญี่ปุ่น นาขั้นบันได เป็นแหล่งผลิตกิโมโนอันโด่งดัง มีแหล่งออนเซ็นขึ้นชื่อหลายแห่ง และยังเป็นเมืองแห่งงานอาร์ต ที่ชื่อว่า Echigo-Tsumari Art Field ด้วย

บางท่านที่ไม่อินกับงานอาร์ตอาจจะกังวลว่าไปแล้วจะเบื่อหรือเปล่า ขอบอกเลยว่างานอาร์ตเมืองนี้ไม่เหมือนงานอาร์ตที่เคยพบเห็นมาก่อน เพราะเป็นการจัดแสดงผลงานกว่า 235 ชิ้น กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของเมือง ทั้งในอาคารและนอกอาคาร รับรองว่าได้กดชัตเตอร์กันรัวๆ ซึ่งผลงานทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ Echigo-Tsumari Art Field ที่มีคอนเซ็ปต์ “มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ”เป็นการแสดงผลงานศิลปะของศิลปินชาวญี่ปุ่น และนานาชาติ ให้กลมกลืนไปกับภูมิประเทศที่มีหิมะตกหนักในช่วงฤดูหนาว และความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่นที่ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ดังจะเห็นได้จากผลงานบางชิ้นที่ตั้งอยู่ กลางทุ่งนา ตามริมถนน โรงเรียนเก่าหรือในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่ได้รับรางวัลมากมายในฐานะที่เป็นชุมชนต้นแบบในการพัฒนาท้องถิ่นอีกด้วย

การมาเที่ยวในครั้งนี้เราเน้นเสพงานอาร์ตเป็นหลัก พร้อมกับชมธรรมชาติช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีควบคู่ไปด้วย โดยไปเยือนทั้งหมด 5 เขตย่อย ได้แก่ Tokamachi , Kawanishi , Nakasato, Matsudai และ Matsunoyama พร้อมแล้วออกเดินทางกันเลย

ออกเดินทาง จุด A

เราเริ่มออกเดินทางจากสถานีโตเกียว (Tokyo station) โดยนั่งรถไฟความเร็วสูงโจเอ็ทสึ ชินคันเซ็น (Joetsu Shinkansen) มาลงที่สถานีเอจิโกะ ยูซาว่า (Echigo Yuzawa station) หากไม่ได้เช่ารถสามารถเปลี่ยนรถไฟเป็นสายโฮคุโฮคุ (Hokuhoku Line) เพื่อนั่งไปลงที่สถานีโทคะมะจิ(Tokamachi) แต่ครั้งนี้เราไปค่อนข้างหลายจุด จึงเลือกที่จะเช่ารถที่สถานีเอจิโกะ ยูซาว่าแทน

ในการมาเสพงานอาร์ตที่เมืองนี้ ขอแนะนำให้ซื้อบัตรเข้าชม Echigo Tsumari Art Triennale Passport หรือ ETAT Passport ซึ่งเป็นบัตรเหมาจ่ายสำหรับเข้าชมผลงานศิลปะที่ต้องเสียค่าเข้าภายในเมืองโทคะมะจิ โดยบัตรเข้าชมนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งราคาและเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลต่างๆ แต่รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องควักกระเป๋าสตางค์หลายรอบแล้ว ยังมีคูปองส่วนลด สำหรับใช้กับร้านค้า ร้านอาหาร และที่พักในพื้นที่ได้ด้วย หรือหากไม่ใช้บัตรจะจ่ายค่าเข้าชมเป็นรายสถานที่ก็ได้เช่นกัน

บัตรนี้สามารถซื้อได้ทั้งที่ศูนย์บริการการท่องเที่ยวเมืองโทคะมะจิ ซึ่งอยู่ภายในอาคารสถานีโทคะมะจิ รวมถึงจุดอื่นๆ และผ่านทางออนไลน์โดยบัตรจะถูกส่งทางไปรษณีย์ล่วงหน้าอีกด้วย

ช่องทางออนไลน์  https://tsumari.official.ec/categories/1669885                                        

จุดซื้อบัตรภายในเมือง https://www.echigo-tsumari.jp/en/visit/?anchor=visit1

จิบกาแฟแช่ออนเซ็นเท้า (Kiyotsu Entrance) จุด B

หลังจากที่เราเช่ารถกันแล้วก็ออกเดินทางมายังเขต Nakasato เพื่อจะมาเช็คอิน Kiyotsu Gorge Tunnel ลงIGก่อนเลย เพราะถ้ามาเยือนเมืองโทคะมะจิแล้วไม่มาที่นี่จะถือว่ามาไม่ถึงกันเลยทีเดียว เราเดินทางถึงช่วงเที่ยงกว่าๆ จึงทานโซบะและเดินเล่นร้านค้าแถวนั้นก่อน ตามด้วยแวะซื้อขนมหวานพร้อมกับกาแฟที่คาเฟ่ใกล้ปากทางเข้าอุโมงค์ ซึ่งนอกจากมีขนม เครื่องดื่มแล้ว ยังมีของที่ระลึกน่ารักๆ ขายด้วย อีกทั้งหากขึ้นบันไดไปจะมีออนเซ็นเท้าให้ไปนั่งแช่เพลินๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ระหว่างนั่งแช่ถ้ามองขึ้นไปด้านบนจะเห็นผู้คนที่เดินอยู่ด้านนอกผ่านกระจกสะท้อน สมกับเป็นเมืองแห่งงานอาร์ตจริงๆ

อุโมงค์แห่งแสงที่หุบเขาคิโยสึ  (Tunnel of Light) จุดB

แต่เดิมอุโมงค์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1988 เป็นเส้นทางเดินผ่านป่าเพื่อเข้าไปชมหน้าผาที่อยู่ด้านในของหุบเขาคิโยสึ จนกระทั่งเมื่อ 30 ปีก่อนเกิดเหตุการณ์หินถล่มทำให้ปิดตายห้ามให้ผู้คนใช้เส้นทางนี้ แต่ด้วยธรรมชาติที่สวยงามทำให้ชาวเมืองพากันเสียดาย และคิดหาหนทางโดยการสร้างอุโมงค์ขึ้นมา ซึ่งในปี 2018 แสงสว่างได้ส่องอุโมงค์แห่งนี้อีกครั้ง ในชื่อ “Tunnel of Light” โดยศิลปินชาวจีน ชื่อ Ma Yansong ทำการสร้างทางเข้าขึ้นมาใหม่ พร้อมปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ด้านในอุโมงค์ อีกทั้งสร้างสรรค์ผลงานให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ซึ่งได้เปิดเป็นผลงานจัดแสดงถาวรของ Echigo Tsumari Art Field จนถึงปัจจุบัน อุโมงค์นี้มีความยาวทั้งสิ้น 750 เมตร หลักการดีไซน์ของอุโมงค์นี้ศิลปินได้นำองค์ประกอบหลักทั้ง 5ของธรรมชาติ ได้แก่ “ต้นไม้ – ดิน – โลหะ – ไฟ – น้ำ” มาเป็นตัวกำหนดแนวคิดในการออกแบบทาง สถาปัตย์ภายใน และการสร้างบรรยากาศโดยรวมของอุโมงค์แห่งนี้ และนำเสนอออกมาเป็น 5 รูปแบบ คือ Expression of Color, Invisible Bubble, Drop, Light Cave และ Periscope

บริเวณทางเข้าอุโมงค์จะมีส่วนของข้อมูลภายในด้วยแผนผังเข้าใจง่าย พร้อมกับราคาหากไม่ได้ซื้อบัตรเหมาจ่ายมา
เมื่อเราผ่านช่องตรวจบัตรแล้ว เดินตามทางไปเรื่อยๆ โดยในอุโมงค์จะจัดแสงไฟสีต่างๆ พร้อมเสียงเพลงประกอบ ทำให้ขณะเดินในอุโมงค์นั้นเกิดอารมณ์ร่วมต่างๆตามสีไฟที่เปลี่ยนไป ก่อนจะเดินถึงจุดไฮไลท์เราจะผ่านจุดชมวิวย่อยๆ ซึ่งนอกจากจะชมความงามของแม่น้ำคิโยสึและหุบเขาได้แล้ว ยังถ่ายรูปเพลินอีกด้วย
สำหรับจุดที่ตอนแรกเดินผ่านไปและต้องย้อนกลับมาดู หากมองจากด้านนอกเหมือนเป็นซุ้มกระจกสะท้อนปกติ แต่ด้านในนั้นเป็นห้องน้ำที่คนข้างในสามารถมองเห็นด้านนอกซึ่งเป็นวิวหน้าผา และผู้คนสามารถเดินผ่านได้ เสียดายที่ตอนนั้นพึ่งเข้าห้องน้ำมาก่อนเดินอุโมงค์เลยไม่ได้ลอง หากมาแล้วลองมานั่งปลดทุกข์ที่นี่ ก็เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ จากการได้มาเยือนเมืองแห่งงานอาร์ตแห่งนี้กันด้วยนะคะ
จุดถัดมาถือเป็นจุดที่เห็นตามโซเชียลอยู่บ่อยๆ ก่อนไปเข้าใจว่าอุโมงค์เป็นรูๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นการนำเอากระจกนูนตามถนนที่ไม่ได้ใช้แล้วมาตกแต่งพร้อมจัดไฟสีแดง-ส้ม
เมื่อเราเดินมาถึงปลายสุดของอุโมงค์ จะพบกับจุดที่สามารถมองเห็นวิวพาโนรามาของหุบเขาคิโยสึ ซึ่งเป็นหุบเขาที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด 1ใน 3 ของญี่ปุ่น หากสังเกตจะเห็นว่าหินผามีริ้วลายที่สวยงามมาก โดยเป็นลวดลายที่เกิดจากลาวาของภูเขาไฟกัดกร่อนนานนับหมื่นปี จุดถ่ายรูปแนะนำนี้จะต้องค่อยๆ เดินบนพื้นน้ำไปยังปลายอุโมงค์

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์: https://nakasato-kiyotsu.com/en/

เวลาเปิด-ปิด: 8.30 – 17.00 น. (เปิดให้เข้ารอบสุดท้ายก่อนเวลา16.30 น.)

วันหยุด: ไม่มี

ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 800 เยน / นักเรียนชั้นประถมและมัธยมต้น 400 เยน

หรือใช้ ETAT Passport หรือตั๋วพิเศษได้

การเดินทาง: ขึ้นแท็กซี่ จากสถานี Echigo Tazawa ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือ รถยนต์ จากทางออก Shiozawa Ishiuchi IC ของทางด่วน Kanetsu ขับมาตามทางหลวงหมายเลข 353 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หากนั่งรถบัสลงได้ที่ป้าย Kiyotsu Iriguchi และเดินต่ออีก 30 นาที

(จากป้ายรถบัสถือว่าค่อนข้างไกล จึงขอแนะนำให้ใช้รถยนต์ในการเดินทางจะสะดวกกว่า)                                                                                                          

Google map: https://goo.gl/maps/nxbEJU7ANR1u7L4N6

เรียวกังติดหุบเขา แช่ออนเซ็นชมหิ่งห้อย (Kiyotsu-kan) จุดC

ถ่ายรูปที่อุโมงค์อย่างหนำใจแล้ว เดินออกจากอุโมงค์ก่อนจะปิด 5 นาที จากนั้นลากกระเป๋าเข้าที่พักคืนแรกซึ่งอยู่บริเวณทางเข้าหุบเขาคิโยสึ ชื่อ “Kiyotsu-kan” เป็นที่พักสไตล์เรียวกังแบบดั้งเดิม นอนฟูกฮุตง และมีจุดเด่นอยู่ที่มีบ่อน้ำพุร้อนชื่อ “Yakushi no Yu” ซึ่งเป็นน้ำจากต้นน้ำที่ผุดขึ้นเองจากใต้ดินตามธรรมชาติ โดยมีบ่อให้แช่ 2 จุด คือบริเวณด้านในอาคารและด้านนอกติดแม่น้ำ ด้านนอกจะเป็นบ่อส่วนตัวแบบที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพียงแต่จะต้องลงชื่อจองเวลาก่อนแช่ล่วงหน้า แนะนำให้จองตอนเช็คอินเข้าที่พักได้เลย

เราจองได้ช่วง 17.00 – 18.00 น. ก่อนเวลารับประทานอาหารมื้อเย็น เพียงแค่ได้ชมวิวลำธารก็ว่าสวยแล้ว แต่เซอร์ไพรส์ตรงที่ได้ชมหิ่งห้อยบินไปบินมาอย่างใกล้ชิดด้วย ว่าไปแล้วก็ไม่ได้เห็นหิ่งห้อยตามธรรมชาติแบบนี้มานานกี่สิบปีแล้วนะ

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์https://www.tokamachishikankou.jp/en/stay/nakasato-area/kiyotsukan/            

การเดินทาง: ขึ้นแท็กซี่ จากสถานี Echigo Tazawa ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือ รถยนต์ จากทางออก Shiozawa Ishiuchi IC ของทางด่วน Kanetsu ขับมาตามทางหลวงหมายเลข 353 ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หากนั่งรถบัสลงได้ที่ป้ายKiyotsu Iriguchi และเดินต่ออีก30นาที

(จากป้ายรถบัสถือว่าค่อนข้างไกล จึงขอแนะนำให้ใช้รถยนต์ในการเดินทางจะสะดวกกว่า)                                                                                                          

Google maphttps://goo.gl/maps/hYMv7UkYANBMiJM77