เสพงานอาร์ตชมธรรมชาติที่โทคะมะจิ ตอนที่ 2
งานอาร์ตทุกมุมยันห้องน้ำ(Matsudai Nohbutai) จุดD
เราเริ่มต้นเช้าวันที่ 2 ซึ่งเป็นวันแห่งการถ่ายรูปและเสพงานอาร์ตแบบเต็มๆ จากคิโยสึกังเราขับรถไปเกือบ 1 ชั่วโมง เข้าสู่เขต Matsudai ซึ่งที่หมายแรกคือ “Matsudai Nobutai” เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย ภายใต้แนวคิด “การอยู่ร่วมกันของธรรมชาติ และหมู่บ้านเกษตรกรในดินแดนหิมะ” โดยมีงานศิลปะของศิลปินญี่ปุ่น และต่างชาติให้ชมทั้งภายในอาคารและบริเวณทุ่งนา รวมทั้งบริเวณภูเขาโดยรอบ หากไม่ได้เช่ารถมา ที่นี่ถือเป็นสถานที่แนะนำในการมาชมงานอาร์ตของเมืองนี้ เพราะอยู่ติดสถานีMatsudai เดินทางค่อนข้างสะดวก เมื่อเราออกจากสถานีรถไฟแล้วจะพบกับชิ้นงานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น มองแว๊บแรกก็เดาได้ทันทีว่าเป็นงานของคุณ Kusama Yayoi ที่โด่งดังไปทั่วโลก
อาคาร ขณะที่เดินผ่านบริเวณนี้จะได้ยินเสียงอัดของชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนี้จริงๆ กำลังทักทายต้อนรับพวกเราอยู่ ภายในพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็นห้องต่างๆ ซึ่งแต่ละห้องถ่ายรูปสนุกทุกมุม
The Rice Fieldออกแบบโดย Ilya&Emilia Kabakov
Reverse Cityออกแบบโดย Pascale Marthine Tayou
หากใครที่ชอบเล่นแรลลี่ สะสมตัวปั๊มก็อย่าลืมปั๊มเช็คอินบนบัตรเหมา (ETAT Passport) ด้วยล่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม
เว็บไซต์:https://www.echigo-tsumari.jp/en/travelinformation/nohbutai/
เวลาเปิด-ปิด: 10.00 – 17.00 น.(เปิดให้เข้ารอบสุดท้าย 16.30 น.)
วันหยุด: ทุกวันพุธ(หรือวันถัดไปหากวันพุธเป็นวันหยุดราชการ)
การเดินทาง: ลงสถานีรถไฟ Matsudai เดินต่อ 5 นาที
Google map: https://goo.gl/maps/5xfKXFEG2dh5V5zs7
แกงกะหรี่และโลกของหนังสือภาพ จุดE
(Hachi & Seizo Tashima Museum of Picture Book Art)
ต่อจากพิพิธภัณฑ์มัตสึไดโนะบุไต เราเดินทางไปเสพงานอาร์ตกันต่อที่เขต Tokamachi พิพิธภัณฑ์หนังสือภาพ ฮาจิและเซโซะ ทะชิมะ โดยขับรถต่อไปเพียง 20 นาทีเท่านั้น เดิมทีที่นี่เคยเป็นโรงเรียนประถมซานาดะ แต่เมื่อจำนวนเด็กนักเรียนลดน้อยลง โรงเรียนแห่งนี้ก็ได้ถูกทิ้งร้างทำให้คุณ Tashima Seizo ศิลปินนักวาดภาพประกอบได้ชุบชีวิตโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ โดยออกแบบให้ผู้คนที่มาเยี่ยมชม หลุดมาอยู่ในหนังสือภาพวาดของเขาทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่โรงเรียนแห่งนี้ หลังจากที่เดินผ่านส่วนของโรงยิมที่มีผลงานจากวัสดุธรรมชาติ อย่างเศษไม้ที่ถูกแต่งแต้มสีสันสร้างความสดใสให้โรงเรียนแล้ว
เราก็เดินมาที่ห้องเรียนห้องแรก ซึ่งได้เปลี่ยนโฉมเป็นคาเฟ่ ชื่อ “Hachi Café” ภายในตกแต่งด้วยโต๊ะและเก้าอี้โรงเรียน ทำให้ผู้มาเยือนชาวญี่ปุ่นได้ย้อนความหลังวัยเด็ก ส่วนชาวต่างชาติก็จะได้สัมผัสบรรยากาศโรงเรียนประถมญี่ปุ่น ซึ่งมีหน้าตาหรือแพลนที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกันทั่วประเทศ อีกทั้งไม่ได้มีโรงอาหารเหมือนโรงเรียนในไทย เด็กๆ ประถมจึงรับประทานอาหารกลางวันบนโต๊ะเรียนของตัวเองเช่นเดียวกับคาเฟ่นี้ โดยมีเมนูข้าวหน้าแกงกะหรี่ที่อยู่ในหนังสืออ่านเล่นของเด็กเป็นเมนูหลักด้วย
เมื่อรับประทานมื้อกลางวันเสร็จแล้ว เราเดินเล่นห้องเรียนห้องอื่นๆ ทั้งชั้น 1 และชั้น 2 กันต่อซึ่งเป็นงานอาร์ตแบบที่เราสามารถจินตนาการ หรือตีความได้หลากหลาย ก่อนกลับอย่าลืมแวะให้อาหารน้องแพะซึ่งเป็นมาสคอตของโรงเรียนแห่งนี้ด้วยล่ะ
ข้อมูลเพิ่มเติม
เว็บไซต์: http://ehontokinomi-museum.jp
เวลาเปิด-ปิด: 10.00 – 17.00 น., 10.00 – 16.00 น. (ตุลาคมและพฤศจิกายน) / คาเฟ่ 11.00 – 16.00 น.
วันหยุด: พุธ และ พฤหัสบดี
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 800 เยน เด็กประถมหรือมัธยมต้น 400 เยน หรือใช้ ETAT Passport หรือตั๋วพิเศษได้
Google map : https://goo.gl/maps/z86Vj49AQBRpRHFy8
โกดังตั๋วแห่งความสุข (Kiss & Goodbye) จุดF
จากพิพิธภัณฑ์หนังสือภาพ ขับรถต่ออีกประมาณ 10 นาที ชมผลงานน่ารักๆ ของคุณ Jimmy Liao ศิลปินนักวาดภาพประกอบชื่อดังชาวไต้หวัน โดยทั้ง 2 ชิ้นงานอยู่ภายใต้ชื่อเดียวกันคือ “Kiss & Goodbye” โดยอยู่ติดกับสถานี Doichi และสถานี Echigo-Mizusawa
สำหรับผลงานทั้ง 2 ชิ้นนี้คุณ Jimmy Liao ได้หยิบเอาตัวละครในหนังสือภาพเรื่อง “ตั๋วแห่งความสุข Kiss & Goodbye” ที่ได้วาดให้กับรถไฟสาย JR Iiyama Line มาแต่งแต้มเป็นลวดลายลงบนโกดังทรงคล้ายกับลูกชิ้นปลา “คามาโบะโกะ” โดยโกดังทรงนี้สามารถรองรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีหิมะตกหนักได้ดี ด้านในโกดังมีการจัดแสดงนิทรรศการรูปภาพ วิดีโอ และเพลงประกอบของหนังสือเล่มนี้อยู่
เรื่องราวของหนังสือมีอยู่ว่า มีเด็กชายกำพร้าพร้อมกับสุนัขตัวหนึ่ง ได้ออกเดินทางขึ้นรถไฟ เพื่อไปเยี่ยมชายชราในชนบท สื่อถึงการที่เด็กชายปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่ความกล้า พร้อมกับรถไฟที่มุ่งไปข้างหน้าเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทางนั้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
เว็บไซต์: https://www.echigo-tsumari.jp/en/art/artwork/kiss_goodbye_doichi/
https://www.echigo-tsumari.jp/en/art/artwork/kiss_goodbye_echigo_mizusawa/
เวลาเปิด-ปิด: เปิดให้ชมช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน (หลังหิมะละลาย)
วันหยุด: ช่วงฤดูหนาว(เดือนพฤศจิกายน ไป จนถึงปลายเมษายน เพราะหิมะปกคลุม)
ค่าเข้า: 500 เยน (รวมค่าเข้าชมผลงานทั้ง 2 ที่) หรือใช้ ETAT Passport หรือตั๋วพิเศษได้
สถานีรถไฟ Doichi
Google map : https://goo.gl/maps/ZBVewkAfE6XmPfoQ7
สถานีรถไฟ Echigo minusawa
Google map : https://goo.gl/maps/MfVrRhw3XAjPbyyM7
แหล่งออนเซ็นชื่อดัง (Matsunoyama Onsen)
หลังจากที่เสพงานอาร์ตมาทั้งวันแล้ว ถึงเวลาเดินทางไปยังที่พัก “Matsunoyama Onsen” เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา รอยต่อระหว่างจังหวัดนีงาตะและจังหวัดนากาโนะ โดยขับรถต่อไปอีกประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น สรรพคุณของออนเซ็นแห่งนี้เป็นที่ร่ำลือกันมาแต่โบราณ โดยมีส่วนผสมของเกลือเป็นจำนวนมาก จนสามารถสกัดเอาเกลือไปใช้ได้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ดังนั้นถึงแม้ว่ามาแช่ออนเซ็นในฤดูหนาว หลังแช่เสร็จร่างกายก็ยังคงอุ่นอยู่ อีกทั้งยังใช้ในการบำบัดรักษาโรคได้ จึงได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 3 สุดยอดออนเซ็นที่มีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคแห่งญี่ปุ่น
ก่อนเข้าที่พักเราเดินไปชม Taka no yu ซึ่งเป็นหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติในมัตสึโนะยามะออนเซ็น บริเวณตาน้ำ มีน้ำผุดออกมา ถึง 97 จุดเลยทีเดียว ทำให้บริเวณนั้นจะมีไอน้ำพุ่งออกมาโดยตลอด ทั้งนี้ทั้งนั้น Taka no yu หรือ น้ำพุร้อนเหยี่ยว มีที่มาของชื่อจากเรื่องเล่าที่ชายตัดไม้ท่านหนึ่งพบ เหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังลงไปแช่ในน้ำพุร้อนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บนั่นเอง
ขณะเดินเล่นเราจะเห็นจุดออนเซ็นแช่เท้า ซึ่งจะมีปล่องสปาหน้าอยู่ข้างๆ หากอยากลองสปาธรรมชาติก็ลองเปิดบานประตูไม้ดูนะจ๊ะ ระหว่างเดินไปยังเรียวกังเจ้าถิ่นเมืองนี้เล่าให้ฟังว่า ที่นี่จะมีเทศกาล “Muko -nage Matsuri” หรือเทศกาลโยนลูกเขยลงในหิมะ ซึ่งเป็นเทศกาลของมัตสึโนะยามะออนเซ็น โดยมีต้นกำเนิดจากการแก้แค้นผู้ชายจากหมู่บ้านอื่นๆ ที่จะแต่งงานแล้วพรากลูกสาวไปจากพ่อแม่ จึงเกิดเทศกาลนี้ขึ้นมา เมื่อลูกเขยถูกจับโยนลงหิมะเรียบร้อยแล้ว ชาวเมืองและตำรวจจะพากันป้ายหมึกบนหน้า พร้อมตะโดนว่า “Omedetou”เพื่อแสดงความยินดี ในปัจจุบันกลายเป็นอีเว้นท์ที่ถูกจัดขึ้นเพื่อความบันเทิงของคู่ที่พึ่งแต่งงานปีนั้นๆ และถือเป็นกิมมิคดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างแดนอีกด้วย
เรียวกังอาหารอร่อย ออนเซ็นสบาย(Hinanoyado Chitose) จุดG
สำหรับที่พักคืนนี้เรานอนกันที่ “Hinanoyado Chitose” เป็นเรียวกังที่สวยงามโดยพื้นทางเดินถูกปูด้วยเสื่อทาทามิทำให้สัมผัมนุ่มสบาย ห้องพักมีให้เลือกว่าอยากนอนแบบฟูก หรือเตียงซึ่งสะดวกสบายกับท่านที่ไม่ถนัดนอนฟูกสไตล์ญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก ภายในห้องพักมีทั้งโต๊ะธรรมดา และส่วนของโฮริโคะตาซึซึ่งเป็นโต๊ะที่ขุดด้านล่างให้หย่อนขาลงไปอุ่นๆในช่วงฤดูหนาว
นอกจากการแช่ออนเซ็นร้อนๆ ผ่อนคลายสบายใจแล้ว ไฮไลท์เด็ดอีกอย่างของเรียวกังแห่งนี้ คืออาหารมื้อค่ำที่จัดแบบคอร์สญี่ปุ่น โดยที่วัตถุดิบส่วนใหญ่หาได้จากป่าในพื้นที่มัตสึโนะยามะออนเซ็น เริ่มจากการดื่ม Welcome Drink ที่จุ่มไม้คุโรโมะจิ ซึ่งเป็นไม้เนื้อหอม ที่นิยมนำมาทำเป็นไม้รับประทานขนมวากาชิ เมื่อหักไม้ที่จุ่มเครื่องดื่มไว้เราจะได้กลิ่นหอมธรรมชาติ เป็นสัญญาณดีในการเริ่มมื้ออาหารค่ำนี้
หลังจากที่ค่อยๆ ทานอาหารเรียกน้ำย่อยจานเล็กจานน้อยแล้ว เมนคอร์สซึ่งเป็นสิ่งที่พลาดไม่ได้คือ เมนูTouji Buta เป็นการนำหมูจากเมืองข้างๆ นั่นคือเมืองอุโอนุมะ มาปรุงรสเล็กน้อย จากนั้นทำการแพ็คใส่ซองสูญญากาศ แล้วนำลงไปแช่ในบ่อน้ำพุร้อนที่มีอุณหภูมิถึง 70 องศานานถึง 3 ชั่วโมง เนื้อหมูที่ได้จะมีความชุ่มฉ่ำ ไม่แข็งกระด้างเหมือนหมูต้มทั่วไป
ข้อมูลเพิ่มเติม
เว็บไซต์: https://chitose.tv/ การเดินทาง: จากสถานี Tokamachi โดยสารรถไฟสาย Hokuhoku ถึงสถานี Matsudai ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จากนั้นใช้บริการรับส่งของโรงแรม ใช้เวลาประมาณ 20 นาที เวลาไปรับรับส่ง : บริการรถรับส่งจากสถานี Matsudai
(14: 15/16: 10/17: 10) ส่ง (9: 30/10: 20) Google map: https://goo.gl/maps/M9XUZ7CUeLKKUFzTA
สำหรับการเดินทางในเมืองโทกะมาจิ 5 วัน 4 คืนยังมี Part 2 ต่อ พบกันใหม่ตอนต่อไป