Tokamachi Trip Part3

เสพงานอาร์ตชมธรรมชาติที่โทคะมะจิ ตอนที่ 3

หลังจากที่ 2 วันแรกได้ไปชมงานอาร์ตอย่างจุใจแล้ว สำหรับวันที่ 3 – 5 ที่กำลังจะเล่าต่อในตอนนี้ มีทั้งไปชมธรรมชาติสวยๆ ทำกิจกรรมสุดฮิตแห่งปีอย่างการพายซับบอร์ด ตั้งเต็นท์ก่อกองไฟ และปั่นจักรยานเสพงานอาร์ต เครื่องติดแล้วก็จะออกแนวลุยนิดๆ

DAY3

เช้าวันที่ 3 เรายังคงอยู่ที่พัก Hinanoyado Chitose ในมัตสึโนะยามะออนเซ็น นอกจากมื้อค่ำที่จัดหนักแล้ว มื้อเช้าที่เรียวกังแห่งนี้แม่ครัวยังคงจัดเต็มอยู่ ระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะเริ่มรับประทานจากเมนูอะไรก่อนดี

“Mirai Natto”

ตาก็แอบไปสะดุดที่ถ้วยนัตโตะ หรือถั่วเน่าญี่ปุ่น ชื่อ“Mirai Natto” เป็นถั่วเม็ดใหญ่แถมมีอะไรสีฟ้าๆ เหมือนขึ้นรา แต่แท้จริงแล้วเป็นเอกลักษณ์ของนัตโตะออริจินอลของเรียวกังนี้ นัตโตะทั่วไปจะรับประทานโดยใส่โชยุและมัสตาร์ด ส่วนนัตโตะชนิดนี้จะนิยมรับประทานกับเกลือผสมสาหร่าย ไม่น่าเชื่อเลยค่ะว่ารสชาติจะเข้ากันมากๆ ไม่ค่อยมีกลิ่นเหมือนนัตโตะทั่วไป สำหรับใครที่ไม่ค่อยชอบทานนัตโตะอาจจะเปลี่ยนใจต้องที่เจอนัตโตะที่นี่ก็เป็นได้

เติมพลังแล้วก่อนจะเริ่มต้นทริปแห่งการใกล้ชิดธรรมชาติ ขอเดินขึ้นทางราบไปชมงานอาร์ตที่แอบสงสัยตั้งแต่เมื่อวานเย็นเล็กน้อย

The black symbolออกแบบโดย Santiago Sierra จุดA

แผ่นป้ายสีดำขนาดใหญ่สูง 10 เมตร จำลองเงาของวัวกระทิงที่ชื่อว่า “Toro de Osborne” สัญลักษณ์ของประเทศสเปน บ้านเกิดของศิลปินเจ้าของผลงาน ตั้งตระหง่านสะดุดตาอยู่บนเนินเขาท่ามกลางธรรมชาติ ชวนให้ตั้งคำถามว่าเหตุใดเจ้าวัว สัญลักษณ์ของสเปนถึงได้มาอยู่กลางป่าเขาในญี่ปุ่นอันห่างไกล อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์: https://www.echigo-tsumari.jp/en/art/artwork/the_black_symbol/

ค่าเข้า: ใช้  ETAT Passport หรือตั๋วพิเศษได้

Google map: https://goo.gl/maps/9SDRPCK3xNRnEbff9

ต้นบีชญี่ปุ่นเรียงรายสูงเด่นเป็นสง่า (Bijinbayashi Forest) จุดB

ป่าต้นบุนะหรือบีชญี่ปุ่นแห่งนี้ถือเป็นป่าเก่าแก่อายุ 90 กว่าปี ลำต้นเรียงรายอย่างพร้อมเพรียง เหยียดตรงขึ้นฟ้า ถือเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากสำหรับผืนป่าในเขตที่มีหิมะทับถมเป็นจำนวนมาก ทำให้ป่าแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า “Bijinbayashi” หรือป่าคนงาม ถือเป็นงานอาร์ตที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น

นอกจากการเรียงรายของต้นไม้ที่สวยงามแล้ว ใบของต้นบีชที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลนี้ ทำให้ ผู้ชมเพลิดเพลินไปกับความงามที่แตกต่างได้ เช่นใบสีเขียวขจีช่วงฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน ใบไม้สีส้ม-น้ำตาลทองช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และผืนป่าขาวโพลนไปด้วยหิมะในช่วงฤดูหนาว ทั้งนี้หากมาช่วงหิมะ สามารถเช่า Showshoe ได้ที่ศูนย์เรียนรู้ธรรมชาติเคียวโรโระ (Forest School Kyororo) ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า บริเวณลานจอดรถไม่อย่างนั้นจะค่อนข้างเดินลำบากหน่อยนะคะ

ระหว่างเดินเล่น ถ่ายรูปเพลินๆ ก็ลองมองหาต้นที่มีรากม้วนตัวเป็นรูปหัวใจด้วยนะ เผื่อจะพบเนื้อคู่หรืออินเลิฟมากยิ่งขึ้น

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์: https://www.tokamachishikankou.jp/en/nature/                                                          

การเดินทาง: จากสถานี Tokamachi โดยสารรถไฟสาย Hokuhoku ถึงสถานี Matsudai ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จากนั้นขึ้นรถบัสลงที่ป้าย Sakaimatsu ใช้เวลาประมาณ 15 นาที จากนั้นเดินต่ออีก 20 นาที

Google maphttps://goo.gl/maps/hDW4g1cQ61w6u3Dk7

ตั้งแคมป์ นอนเต็นท์ บาร์บีคิวไนท์(Daigonji Kogen Camping Ground) จุดC

เราแวะซุปเปอร์ซื้อวัตถุดิบสำหรับบาร์บีคิวปาร์ตี้คืนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อวัว เห็ด ผักนานาชนิด ข้าวโพด เนย และอีกมากมาย จากนั้นค่อยๆ ขับรถขึ้นมาโดยผ่านทางคดเคี้ยวเล็กน้อย ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงสถานที่ทำกิจกรรมในครึ่งบ่าย โดยที่เราจะพักกันที่นี่ด้วย “Daigonji Kogen Camping Ground” เป็นลานแคมป์ปิ้งที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงไดกนจิ ใน Matsunoyama ระดับความสูงเหนือน้ำทะเลกว่า 700 เมตร ทำให้อากาศค่อนข้างเย็นสบายตลอดทั้งวัน

ที่นี่มีพื้นที่สำหรับตั้งแคมป์ให้เลือกทั้งหมด 7 โซน ส่วนรูปแบบที่พักมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งการนำเต็นท์มากางเอง เช่าเต็นท์ของที่นี่ พักในกระท่อม หรือบังกะโล ทั้งนี้ทั้งนั้นสามารถมาใช้บริการเฉพาะส่วนของกิจกรรมแบบเช้าไปเย็นกลับ ไม่ว่าจะเป็นพายเรือแคนู ซับบอร์ด ตกปลา ปั่นจักรยาน ไม่ต้องพักค้างอ้างแรม ก็สามารถมาเที่ยวที่นี่ได้เช่นกัน

ก่อนจะไปลุยต่อ ท้องร้องตรงเวลามื้อเที่ยง เรารับประทานราเม็งท้องถิ่นน้ำซุปร้อนๆ ที่แคนทีนซึ่งอยู่ภายในอาคารที่เราจะลงทะเบียนเช่าอุปกรณ์ต่างๆ ราเม็งขึ้นชื่อของที่นี่คือราเม็งกุยช่ายชามโต หลังทานเสร็จเราก็ไปติดต่อรับอุปกรณ์ที่จะเช่า โดยมีเต็นท์ ถุงนอน ฟูก เครื่องครัว โคมไฟ ทั้งหมดนี้เราได้ทำการจองผ่านทางเว็บไซต์ล่วงหน้ามาก่อน เนื่องจากมากันหลายคน อีกทั้งสะดวกสบายทั้งผู้จองและผู้ที่ต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ให้

จากนั้นเราพากันเลือกโลเคชั่นสวยๆ ตั้งเต็นท์ที่จะนอนคืนนี้ ถึงจะไม่เคยกางเต็นท์มาก่อนก็ไม่ต้องกังวล เพราะเจ้าหน้าที่ที่นี่น่ารัก มีใจบริการพร้อมช่วยเหลือเสมอ หรือแม้แต่ผู้ที่มาแคมป์ปิ้งท่านอื่นก็เดินมาถามไถ่อธิบาย และช่วยกางจนเป็นรูปเป็นร่าง ห้องน้ำและจุดชาร์จไฟอยู่ไม่ไกลจากเต็นท์ของเราสักเท่าไหร่ ส่วนห้องอาบน้ำจะอยู่ภายในอาคารเมื่อสักครู่ที่เรารับประทานอาหาร

สมาชิกบางส่วนขี้หนาวจึงเช่าคอทเทจแยกต่างหากไว้อีกหลัง แม้นจะต้องเดินขึ้นทางราบชันสักหน่อยแต่วิวมุมสูงจากระเบียงคอทเทจจัดว่าดีมากเห็นแล้วหายเหนื่อยเลย อีกทั้งมีอุปกรณ์ครบครันไม่ว่าจะเป็นส่วนของห้องครัว ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องนอนชั้นล่างและห้องนอนใต้หลังคา รวมถึงฮีทเตอร์อุ่นๆ

กางเต็นท์เสร็จอาหารย่อยพอดี เราจึงไปพายเรือแคนู และลองเล่นซับบอร์ดในบ่อขนาดใหญ่ เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มคนละ 7,000 เยน เล่นได้ 70 นาที หากไม่เคยเล่นก็ไม่ต้องกังวลเช่นเคย เพราะที่นี่มีครูฝึกสอนคอยแนะนำอย่างละเอียด ตั้งแต่การเลือกความยาวของไม้พายให้เข้ากับความสูงของลำตัว เทคนิคการพายที่ถูกต้อง รวมถึงยืนบนซับบอร์ดได้อย่างมั่นคง เพราะช่วงที่ไป ถึงแม้ว่าอากาศจะกำลังดีแต่น้ำค่อนข้างเย็น หากตกลงไปคงจะไม่สนุกแน่ๆ และหากไปตอนช่วงฤดูร้อนอาจจะตั้งใจชนเบาๆ ให้เพื่อนตกน้ำก็น่าสนุกดี สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดกิจกรรมรวมถึงการจองได้ที่นี่ http://www.daigonji.com/active.html

เสร็จจากกิจกรรมสนุกๆ เรามาเริ่มเตรียมตัวก่อกองไฟ ล้างวัตถุดิบที่ซื้อจากซุปเปอร์ มาทำอาหารมื้อเย็นกันเอง ทันทีที่แสงตะวันลับฟ้าต่างต้องขอไปใส่เสื้อกันหนาวเพิ่ม และผลัดกันอังมือที่กองไฟอุ่นๆ บาร์บีคิวปาร์ตี้ใต้หมู่ดาวสวยๆ สนุกและอร่อยมากๆ มีทั้งปิ้งย่าง ต้มเล้ง ไก่ทอด และอีกมากมาย ตบท้ายด้วยข้าวโพดอบเนย หลังทานเสร็จยังคงนั่งคุยเพลินๆ จนอุณหภูมิค่อยๆ ลดลงเหลือเลขตัวเดียว (ประมาณ 8 องศา) เราเลยแยกย้ายกันนอน เพื่อที่จะตื่นให้ทันดูแสงอาทิตย์ยามเช้า หากจะมานอนเต็นท์ช่วงเดือนตุลาคมขอแนะนำให้เตรียมเสื้อผ้าอุ่นๆ สำหรับอากาศตอนกลางคืนไว้ด้วย

DAY4

เช้าวันถัดมาชมหมอกสวยๆ บนบ่อน้ำ พร้อมจิบกาแฟ ขนมปังปิ้ง ไส้กรอก และซุปข้าวโพด แอบจัดหนักแต่เช้าเพราะกิจกรรมวันนี้เราจะไปเสพงานอาร์ตกันต่อ โดยต้องปั่นจักรยานเป็นระยะทางทั้งหมด 16กิโลเมตร หลังจากที่ช่วยกันเก็บเต็นท์ แล้วขอเดินเล่นเพลินๆ ถ่ายรูปกับทุ่งดอกหญ้าซูซูกิซึ่งถือเป็น 1ใน 7 ดอกหญ้าแห่งฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จากนั้นเราออกเดินทางต่อไปยัง Mion Nakasato ที่หมายสำหรับการไปปั่นจักรยานในวันนี้ โดยขับรถไปประมาณ 45 นาที ระหว่างทางเจอทุ่งดอกไม้สีเหลืองสวยๆ ก็เลยแวะถ่ายรูปกันสักหน่อย นี่ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อดีของการเช่ารถขับเมื่อมาเที่ยวต่างจังหวัดในญี่ปุ่นด้วยนะคะ

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์: http://snow-country.jp/?a=contents&id=822&lang=_en                                         

วันหยุด: ปิดให้บริการช่วงฤดูหนาว                                                                                                                 

การเดินทาง: จากสถานี Tokamachi โดยสารรถไฟสาย Hokuhoku ถึงสถานี Matsudai ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จากนั้นขึ้นรถแท็กซี่ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที                                                                                                         

Google maphttps://goo.gl/maps/WufhwT1fAzUyg6HDA

เช่าจักรยาน ซื้อเบนโตะเสบียงสำคัญ (Mion Nakasato) จุดD

มิออน นะคะซาโตะ เป็นที่พักที่มีออนเซ็น และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน รวมไปถึงบริการให้เช่าจักรยานเพื่อปั่นชมงานศิลปะตามจุดอื่นๆ ของ Echigo-Tsumari Art Field ขอแนะนำให้ทำการจองจักรยานมาล่วงหน้า เพราะจักรยานไฟฟ้าของที่นี่มีจำนวนจำกัด แต่หากมั่นใจในพลังขาก็สามารถเลือกปั่นจักรยานธรรมดาก็ได้เช่นกัน

หลังจากที่เราทำเรื่องเช่าจักรยานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนออกเดินทาง แวะเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย และบริเวณหน้าอาคาร แนะนำให้ซื้อเบนโตะที่มีวางจำหน่ายในราคากล่องละ 500 เยน ทั้งนี้เบนโตะจะมีจำหน่ายเฉพาะวันพุธเท่านั้น หากมาวันอื่นแนะนำให้แวะร้านสะดวกซื้อเตรียมเสบียงมาด้วยนะ

สำหรับเส้นทางที่เราเลือกปั่นในวันนี้ เราจะปั่นไปตามเส้นทางสีแดงในแผนที่ด้านล่าง ระยะทางทั้งหมด 16 กิโลเมตร เดี๋ยวมาดูกันว่าจะปั่นไปได้ไกลแค่ไหน และใช้เวลาทั้งหมดกี่ชั่วโมง ซึ่งช่วงนี้ทางเมืองก็กำลังจัดโครงการ Echigo-Tsumari Art Field ซึ่งเป็นโครงการพิเศษ ที่แนะนำการไปชมงานอาร์ตตามจุดต่างๆ ทั่วเมืองโทคะมะจิอยู่

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์: https://www.tokamachishikankou.jp/en/stay/nakasato-area/mion_nakasato/

เวลาเปิด-ปิด: 10.00 – 22.00 น.                                                                                               

วันหยุด: เปิดตลอดทั้งปี

ค่าบริการ:                                                                                                                         

ออนเซ็น ผู้ใหญ่ 500 เยน /  เด็ก 300 เยน                                                                

เช่าจักรยาน ผู้ใหญ่ 1 วัน 1,500 เยน  / 4 ชม. 1,000 เยน /ต่ำกว่า 3 ชม. 300 เยน                                            

เด็ก 1 วัน 750 เยน  / 4 ชม. 500 เยน /ต่ำกว่า 3 ชม. 150 เยน                                                                                      

การเดินทาง: จากสถานี Tokamachi นั่งรถบัสประมาณ 40 นาทีมาลงที่ป้าย Mion-Nakasato (TN34) และเดินต่ออีก 1 าที                                                                                                        

Google maphttps://goo.gl/maps/JWbr8FgfEcLuzvKd6

เราค่อยๆ วอร์มเครื่องโดยปั่นผ่านเขื่อนเก็บน้ำ และทุ่งนามาเรื่อยๆ การดูแผนที่แบบอะนาล็อกไม่ใช่google map ก็สนุกและท้าทายไปอีกแบบ นอกจากแผนที่ในมือแล้ว เราสามารถสังเกตป้ายสีเหลืองลักษณะเช่นนี้ ซึ่งเป็นป้ายที่บอกเกี่ยวกับงานอาร์ตที่อยู่ใกล้ๆ การที่เราปั่นจักรยานไฟฟ้าทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยอย่างที่คิดไว้สักเท่าไหร่ จากจุดเริ่มต้นเราแวะถ่ายรูปวิวธรรมชาติข้างทางกว่าจะมาถึงงานอาร์ตชิ้นแรกใช้เวลาเกือบชั่วโมง

Set North for Japan (74°33’2”)ออกแบบโดย Richard Wilson จุดE

โครงเหล็กขนาดเท่าตัวบ้านของศิลปินในลอนดอน จัดวางไว้ที่องศาเดียวกันกับพื้นโลก ศิลปินพยายามสื่อถึงความเชื่องโยงกันระหว่างกรุงลอนดอน และเมืองทสึมาริ ที่ห่างไกลกันทั้งในแง่ของระยะทางและความแตกต่างของวัฒนธรรม โครงเหล็กนี้ตั้งอยู่ติดกับประตูโทริอิขนาดใหญ่ ทางเข้าของโรงเรียนมัธยมต้นนะคะซาโตะ ขอแนะนำให้ถ่ายรูปมุมที่ถอยมาเห็นทั้งผลงานและเสาโทริอินี้ ช็อตที่ขี่จักรยานผ่านนั้นชิคมากๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์: https://www.echigo-tsumari.jp/en/art/artwork/set_north_for_japan_74332/

เวลาเปิด-ปิด: เปิดให้ชมตลอดทั้งปี

วันหยุด: ไม่มี

ค่าเข้า: ใช้  ETAT Passport หรือตั๋วพิเศษได้

Google map: https://goo.gl/maps/tokPedhhub2mR8sP6

จากจุดแรกเราก็ปั่นต่อเพื่อไปชมงานอาร์ตชิ้นที่สอง ซึ่งเป็นหนึ่งในงานอาร์ตที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งหนึ่ง และด้วยความตั้งใจอยากจะมาเยือน นั่นคือหน้าต่างแห่งความหวัง

For Lots of Lost Windows ออกแบบโดย Utsumi Akiko จุดF

เป็นการนำเสาเหล็กสีขาวขนาดใหญ่ มาจำลองเป็นหน้าต่างห้องที่มีผ้าม่านสีขาวพริ้วไหวยามลมพัด พร้อมทิวทัศน์ที่มองเห็นจากหน้าต่างห้อง กลายมาเป็น “ทิวทัศน์ของฉัน” หน้าต่างสำหรับการค้นพบความงามของเอจิโกะ-ทสึมาริที่อยู่ลึกลงไป ทั้งในและนอกกรอบหน้าต่าง ว่ากันว่าตอนที่ศิลปินมาเยือนยังดินแดนแห่งนี้ เกิดความประทับใจในธรรมชาติของทสึมาริเป็นอย่างมาก จึงสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาเพื่อรบกวนธรรมชาติให้น้อยที่สุด

ข้อมูลเพิ่มเติม             

เว็บไซต์: https://www.echigo-tsumari.jp/en/art/artwork/for_lots_of_lost_windows/

เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้ชมช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน (หลังหิมะละลาย) 

วันหยุด: ไม่มี

ค่าเข้า: ใช้  ETAT Passport หรือตั๋วพิเศษได้

Google map : https://goo.gl/maps/3chFBNUDs4R9aFD59

หลังจากที่ชมงานอาร์ตสวยๆ ทั้ง 2 ชิ้นแล้ว เราปั่นจักรยานต่อไปยังจุดพักข้างหน้า เพื่อจัดการกับเบนโตะที่เตรียมมา ในสวน Kiyotsugawa Fresh Park ซึ่งเป็นสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ มีทั้งศาลานั่งพัก เครื่องออกกำลังกาย อีกทั้งออนเซ็นเท้าให้แช่โดยไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม เหมาะกับคนที่ปั่นจักรยานใช้กล้ามเนื้อขาเป็นระยะทางไกลๆ มากๆ เลย จากนั้นเราแวะชมงานอาร์ตที่อยู่ภายในสวนนี้และตัดสินใจปั่นกลับโดยเปลี่ยนเส้นทางใหม่ เพื่อชมวิวข้างทางที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีบ่ายสี่โมงกว่าๆ อาทิตย์ก็ตกดินแล้ว

KIYOTZ” KIYOTSUGAWA PRESS CENTER ออกแบบโดย Osamu Tsukihashi + Architects T House จุดG

อาคารรูปทรงสามเหลี่ยมต่อกันสามหลัง เป็นศูนย์ให้ข้อมูล และพื้นที่พักผ่อนริมแม่น้ำคิโยสึ เปิดให้บริการในปี 2009 ต่อมาในปี 2012 ได้ร่วมมือกับห้องวิจัย Tsukihashi ประจำมหาวิทยาลัยโกเบ จัดให้มีการแสดงภาพสามมิติขนาดใหญ่เกี่ยวกับลุ่มน้ำคิโยสึ และมีการตีพิมพ์เอกสารให้ความรู้แจกฟรีอีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์: https://www.echigo-tsumari.jp/en/art/artwork/kiyotz_kiyotsugawa_press_center/

เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้ชมช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน (หลังหิมะละลาย) 

วันหยุด: ปิดช่วงฤดูหนาว

ค่าเข้า: ใช้  ETAT Passport หรือตั๋วพิเศษได้

Google map : https://goo.gl/maps/f8mDCzN6ZMAZ3WDt9

สรุปแล้วเราปั่นไปทั้งหมด 3 ชั่วโมงกว่าๆ สนุกและไม่รู้สึกเหนื่อยเลย จากนั้นเราก็เปลี่ยนมาขับรถเข้าไปยังตัวเมือง Tokamachi คืนสุดท้ายเลือกพักที่โรงแรม Simizu อีกทางเลือกสำหรับคนที่สนใจที่พักราคาประหยัดใกล้สถานีรถไฟ Tokamachi ห้องพักขนาดกะทัดรัด มีอาหารเช้าอร่อยๆ ที่เจ้าของที่พักปลูกข้าวเอง ทั้งนี้เป็นโรงแรมที่ไม่มีลิฟต์หากมีสัมภาระขนาดใหญ่ หรือมีผู้สูงอายุ อาจจะต้องลองคำนึงถึงจุดนี้นิดนึง

เว็บไซต์: https://www.hotel-simizu.com/index_e.html

DAY5

วัดเก่าแก่เงียบสงบ จิงกูจิ (Jinguji Temple) จุดH

หลังรับประทานมื้อเช้าอร่อยๆ เสร็จแล้ว เช้านี้เข้าวัดไหว้พระสงบจิตสงบใจกันสักหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีวัดที่มีบรรยากาศเงียบสงบขนาดนี้ตั้งอยู่ในตัวเมืองที่มีตึกเต็มไปหมด วัดจิงกูจิถือเป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยเฮอัน ช่วงปี 794 – 1185 เมื่อเราไปถึง จะต้องเดินผ่านบ่อน้ำ และเหล่าต้นซากุระในสวน จากนั้นจะพบกับซุ้มประตูที่สร้างด้วยไม้ทั้งหมด มีความสวยงามและความขลังในคราวเดียวกัน ซึ่งทั้งประตูไม้และโถงทางเดินนั้น เพิ่งถูกสร้างขึ้นในปลายสมัยเอโดะ ราวปี 1867 เพื่อถวายแด่องค์เจ้าแม่กวนอิม ภายหลังได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของจังหวัดนีงาตะ

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์:http://snow-country.jp/?a=contents&id=804&lang=_en                             
วันหยุด: เปิดให้บริการตลอดทั้งปี                                                                                            
การเดินทาง: จากสถานี Tokamachiนั่งรถแท็กซี่ประมาณ 10 นาที                                     
Google maphttps://goo.gl/maps/FHCtqCb5fDdojiSw8

พิพิธภัณฑ์รอบรู้เรื่องโทคะมะจิ (Tokamachi City Museum) จุดI

พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองโทคะมะจิแห่งนี้ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของเมืองได้เป็นอย่างดี บางท่านอาจจะคิดว่าเสียเวลาและน่าเบื่อ แต่ไม่อยากให้พลาดเพราะมันไม่ได้เป็นอย่างที่หลายท่านคิด อาคารภายนอกดูโดดเด่นและทันสมัย ส่วนภายในจะมีการแบ่งเป็นโซนใหญ่ๆ ทั้งหมด 3 โซนด้วยกัน ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา – อุปกรณ์การเกษตร ประวัติสิ่งทอ และหิมะ – แม่น้ำชินาโนะ

เราเริ่มไปชมโซนแรก โซนจัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาแบบเปลวไฟโบราณอายุนับพันปี ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยโจมง หรือ ยุคน้ำแข็งก่อนประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น 3,400 – 2,400 ปีก่อนคริสต์กาล สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ในแถบนี้มีผู้คนอาศัยอยู่มาอย่างยาวนานหลายพันปีแล้ว

สำหรับเครื่องปั้นดินเผาทรงเปลวไฟที่ขุดได้จากซากโบราณสถาน Sasayama นั้น ได้รับเลือกให้เป็นสมบัติของชาติญี่ปุ่นชิ้นแรก และยังเป็นสมบัติของชาติเพียงชิ้นเดียวในจังหวัดนีงาตะอีกด้วย

เมื่อเราเดินไปเรื่อยๆ จะพบกับโมเดลจำลองที่มีขนาดและน้ำหนักเหมือนของจริง สามารถสัมผัสได้ แต่ต้องจับแบบระมัดระวัง เพราะหากชำรุดค่าปรับมีมูลค่าสูงถึง 5 ล้านเยนเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีซุ้มที่ให้เราถ่ายรูปหน้าตรง แล้วจะมีอวตารของเราไปเกิดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในสมัยโจมง ได้ชมวิถีการใช้ชีวิตล่าหมูป่า จับปลา ทำกับข้าวอย่างเพลิดเพลิน

โซนถัดมาชมประวัติสิ่งทอ ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นเพราะ เมืองโทคะมะจิแห่งนี้ถือเป็นแห่งผลิตผ้าทอสำหรับกิโมโนที่ได้รับการยอมรับเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ หลังจากเดินชมลวดลายสิ่งทออันสวยงามแล้ว ก่อนจะไปชมโซนถัดไปซึ่งเป็นโซนสุดท้าย มีจอให้เราลองออกแบบลายกิโมโนได้ด้วยตัวเอง

โซนสุดท้ายเป็นโซนจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับหิมะและแม่น้ำชินาโนะ โดยเป็นการจัดแสดงวิถีชีวิตและการดำรงชีพของผู้คน ที่อาศัยอยู่ในเมืองหิมะทับถมกันมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มีกล่องจำลองน้ำหนักของหิมะที่เพิ่งตกใหม่ๆ กับหิมะที่ตกสะสม เพื่อให้เราได้เข้าใจว่าการที่ต้องตื่นมากำจัดหิมะหน้าบ้านทุกเช้าของคนเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย

จะเห็นได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่าย และเข้าถึงสิ่งนั้นๆ ด้วยลูกเล่นอย่างแยบยล

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์:https://www.tokamachi-museum.jp/en/                                                              
เวลาเปิด-ปิด: 9.00 – 17.00 น. (เปิดให้เข้ารอบสุดท้าย 16.30 น.)                                            
วันหยุด: วันจันทร์ (หรือวันถัดไปหากวันจันทร์เป็นวันหยุดราชการ) และ ช่วงวันที่ 28 ธ.ค. – 3 ม.ค.    
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก (ต่ำกว่า 15 ปี) เข้าชมฟรี                                                              
การเดินทาง: จากสถานี Tokamachiเดินประมาณ 10 นาที                                                  
Google maphttps://goo.gl/maps/grcToyJYhpU3aFkw5

ทันทันเม็งสูตรเฉพาะในชามโบราณ (Tokamachi Kaen Tantanmen) จุดJ

หลังออกจากพิพิธภัณฑ์แล้วก็ได้เวลาทานมื้อเที่ยงพอดี มื้อนี้จะเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากการทานราเม็งขึ้นชื่อประจำเมือง “คะเอ็น ทันมันเม็ง” ที่ร้าน Mantarou  นอกจากเป็นราเม็งสูตรเฉพาะของเมืองโทคะมะจิแล้ว ยังมีเอกลักษณ์ตรงชามที่ใส่นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องปั้นดินเผาเปลวไฟสมัยโจมง โดยที่ร้านราเม็งทั่วเมืองนี้พร้อมใจกันใช้ชามนี้เป็นกิมมิคประจำเมือง แต่ละร้านก็จะมีสูตรที่แตกต่างกันออกไป สำหรับสูตรของร้านนี้รสค่อนข้างเผ็ดร้อน เป็นการปรุงรสโดยเน้นน้ำมันพริก “รายุ” น้ำมันสกัดจากดอกทานตะวัน ในส่วนของท้อปปิ้งจะเป็นหมูสับสึมาริแสนนุ่ม และแครอทที่ปลูกใต้หิมะ

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์: https://www.llc-katsumi.com/mantarou.html                                                           
เวลาเปิด-ปิด: 11.00 – 22.00 น. (สั่งอาหารรอบสุดท้ายได้ถึง 21.30 น.)                                               
การเดินทาง: จากสถานี Tokamachi เดินประมาณ 17 นาที                                                             
Google maphttps://goo.gl/maps/i1WdvQZSmUz8uREK8

ร้านอาหารทรงแปลกตา อิโคเตะ (Ikote) จุดK

ทานคาวแล้วต่อของหวานโดยขับรถไปไม่ถึง 5 นาที ก็มาถึงร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ชื่อ “Ikote” อาคารไม้ 2 ชั้นรูปทรงแปลกตา ผลงานออกแบบของสถาปนิกชาวญี่ปุ่น 2 ท่าน คุณTezuka Takaharu และ Tezuka Yui  ผู้ที่ออกแบบโรงเรียนอนุบาลป่าไม้เคียวโรโระ (Forest School: Kyororo) ในฤดูหนาวหลังคาทรงโค้งสามารถรองรับน้ำหนักของหิมะได้ดี ตามแบบฉบับการสร้างบ้านในสมัยโบราณของเมืองโทคะมะจิ โดยเป็นการจำลองมาจากกระท่อมหิมะคามาคุระด้วย อีกทั้งมีกันสาดที่ยื่นออกมาช่วยบังแดดในช่วงฤดูร้อน พื้นที่ด้านในชั้นล่างเป็นทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ ส่วนชั้นบนสามารถจัดอีเว้นท์ ปาร์ตี้ต่างๆได้และเป็นที่ตั้งของศูนย์วัฒนธรรมประจำเมือง

หากไม่ใช่สายราเม็งจะมาทานมื้อเที่ยงที่นี่ก็ได้เช่นกัน ร้านอาหารนี้จะเน้นใช้วัตถุดิบท้องถิ่น อย่างข้าวแบรนด์โทคะมะจิ และเนื้อหมูสึมาริ จัดจานสวยงามตามสไตล์เมืองอาร์ต ส่วนพวกเราทานคาวมาแล้ว จึงเลือกทานขนมและเครื่องดื่ม รสชาติอร่อยหวานกำลังพอดี บรรยากาศชิคๆ ปิดท้ายทริปนี้

ข้อมูลเพิ่มเติม

เว็บไซต์: https://ikote.net/

เวลาเปิด-ปิด: มื้อกลางวัน 11.00 – 14.00 น. (Last Order 14.00)  / คาเฟ่ 11.00 – 17.00 น./ มื้อเย็น 17.00 – 22.00 น.  (Last Order 21.00 น.ปิดวันอาทิตย์) 

วันหยุด: วันจันทร์

ค่าเข้า: 300 เยน หรือ ใช้ ETAT Passport หรือตั๋วพิเศษได้

การเดินทาง: จากสถานี Tokamachi เดินประมาณ 7 นาที                                                             

Google map: https://goo.gl/maps/oPmS1zpLaLhsb5Bk6

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ทริปสนุกๆ และเที่ยวเพลินทริปนี้ก็มาถึงวันสุดท้ายจนได้ เราเดินทางไปคืนรถที่เช่ามา และนั่งรถไฟชินคันเซ็นกลับบ้านด้วยหัวใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข เป็นทริปในประเทศญี่ปุ่นที่เราประทับใจมากๆ อีกทริป ทั้งกิจกรรม แถมยังได้ทำความรู้จักจ.นีงาตะมากขึ้นอีกด้วยนะ