New Year’s in Kyoto: เล่าประสบการณ์ฉลองปีใหม่ครั้งแรกแบบชาวญี่ปุ่น ทั้งตามหาอาหารมงคล ตีระฆังปัดเป่าความชั่วร้าย คำนับศาลเจ้ารับปีใหม่ และดูแสงอาทิตย์แรกที่วัดบนยอดเขา
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Cover-1024x576.jpg)
“เอาล่ะ วันนี้เราจะมาเรียนเรื่องธรรมเนียมปีใหม่ของญี่ปุ่นกัน” โอคาโมโตะเซ็นเซย์พูดพลางวางกองชีทเรียนลงบนโต๊ะ วันนี้เป็นวันพุธสุดท้ายก่อนเข้าสู่ช่วงปิดเทอมฤดูหนาวในเดือนธันวาคม และเป็นวันสุดท้ายของคลาสเรียนวิชา ‘เกียวโตบุงกะ’ หรือวิชาวัฒนธรรมเกียวโต ก่อนจะกลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งหลังปีใหม่
พอล่วงเข้าปลายปี อากาศที่ญี่ปุ่นก็เย็นลงจนเราต้องห่อตัวในเสื้อโค้ตตัวหนา และวิ่งฝ่าลมหนาวเข้าหาอากาศอุ่น ๆ จากฮีตเตอร์ในห้องเรียน ถึงจะยังไม่มีพยากรณ์ว่าหิมะจะตกในเร็ววันนี้ แต่บรรยากาศรอบตัวก็ชวนให้รู้สึกถึงการเตรียมตัวเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ ทั้งจากท่าทางสบาย ๆ ของคณะอาจารย์ (เพราะตรวจข้อสอบเสร็จแล้ว) และรอยยิ้มของเพื่อน ๆ ที่กำลังวางแผนตะลอนเที่ยวช่วงวันหยุดยาว
ช่วงปลายปีจนถึงเริ่มปีใหม่นั้น คนญี่ปุ่นมีคำเรียกว่า 年末年始 (Nenmatsu-Nenshi) ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า สิ้นปี-เริ่มต้นปี และมีธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำกันมาช้านาน ทั้งเรื่องอาหารการกินช่วงปีใหม่ การทำความสะอาดและตกแต่งบ้านด้วยของมงคล ไปจนถึงการไปวัดและศาลเจ้าตามความเชื่อ
ไหน ๆ ก็ได้อยู่ญี่ปุ่นช่วงปีใหม่ทั้งที ก็ต้องลองฉลองรับปีใหม่อย่างคนญี่ปุ่นดูสักครั้ง
ใครพร้อมแล้วก็ตามไปอ่านกันเลยค่ะ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-40-1024x683.jpg)
เตรียมตัวก่อนถึงปีใหม่
ที่ต้องเตรียมตัว เพราะซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งก็ปิดทำการในช่วงสิ้นปี จะซื้อของหรือวัตถุดิบทำอาหารอะไรก็ต้องไปซื้อมาตุนไว้ก่อน ไหนจะวางแผนไปเคารพศาลเจ้าช่วงวันปีใหม่อีก สรุปคร่าว ๆ แล้วก่อนวันสิ้นปีเราต้องเตรียมตัว 2 เรื่อง คือ
หนึ่ง ตามหา おせち料理 (Osechi) ข้าวกล่องอาหารมงคลสำหรับวันปีใหม่
การทาน Osechi ในวันขึ้นปีใหม่นั้นถือเป็นหนึ่งในธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่นมายาวนาน เริ่มตั้งแต่ยุคนารา (ปี ค.ศ. 710-794) ซึ่งทางราชสำนักมีการจัดงานเฉลิมฉลองช่วงวันเปลี่ยนฤดูและมีการจัดอาหารชุดพิเศษ ต่อมาธรรมเนียมนี้ก็กระจายเป็นวงกว้าง และนิยมทำกันในช่วงวันปีใหม่มาจนถึงยุคปัจจุบัน
ถ้าให้พูดง่าย ๆ Osechi ก็คือเซ็ตอาหารมงคลชุดพิเศษนั่นเอง โดยอาหารแต่ละชนิดก็จะแฝงความหมายดี ๆ เอาไว้ด้วย เช่น กุ้งต้ม (車海老艶煮) สื่อถึงการมีอายุยืนยาวเพราะกุ้งตัวงอรูปร่างคล้ายผู้เฒ่า ไข่หวานม้วน (伊達巻き) อำนวยพรด้านการศึกษาเพราะรูปร่างเหมือนม้วนกระดาษบัณฑิต และไข่ปลานิชินหรือในภาษาญี่ปุ่นคือ คาซุโนะโกะ (数の子) สื่อถึงการมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เหมือนจำนวนไข่ปลานั่นเอง
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Osechi-1-1024x819.jpg)
ครอบครัวญี่ปุ่นบางบ้านที่มีสมาชิกเยอะหน่อย เหล่าคุณแม่ก็อาจจะลงมือทำอาหารมงคลเอง แต่ยุคนี้บรรดาห้างร้านต่าง ๆ ก็หัวใส เอาใจครอบครัวยุคใหม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาโดยนำเสนอเซ็ต Osechi แบบสำเร็จรูปให้ซะเลย แพ็คใส่กล่องมาอย่างหรูหราสวยงาม พร้อมรับประทานกับครอบครัวในวันขึ้นปีใหม่ แต่มีข้อแม้คือต้องสั่งจองล่วงหน้าเท่านั้น
ช่วงปลายปีเราจึงเริ่มเห็นพวกใบปลิวและแคตตาล็อกชุดอาหารวันปีใหม่จากห้างร้านต่าง ๆ โดยมีราคาแตกต่างกันออกไปตามชนิดและปริมาณอาหาร อย่างของห้างสุดหรู Takashimaya ปีนี้เปิดให้สั่งจองได้ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนถึงประมาณ 25 ธันวาคม (แล้วแต่สาขา) และไปรับของได้วันที่ 31 ธันวาคม สำหรับราคาก็มีตั้งแต่ 10,000 เยนต้น ๆ ไปจนถึง 200,000 กว่าเยนเลยค่ะ ใครสนใจลองกดดูได้ ที่นี่
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Takashimaya-1024x720.png)
บอกตามตรง ตอนแรกเราไม่ได้สนใจจะซื้อ Osechi มากินเลยซักนิด เพราะเห็นราคาแล้วแทบจะเป็นลม แถมส่วนใหญ่ก็จะเป็นเซ็ตใหญ่แบบจัดเต็ม กินคนเดียวจะไปหมดได้ยังไง จนวันที่ 30 ธันวาไปเดินซุปเปอร์แถวบ้านถึงเห็นว่า อ้าวววว มี Osechi วางขายในราคาย่อมเยาซะด้วย ขนาดก็พอเหมาะตอบโจทย์มนุษย์ผู้ฉลองปีใหม่คนเดียว เราเลยได้มาหนึ่งกล่องสมใจ สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 3,000 เยนค่ะ (1,000 บาท)
สอง ส่ง 年賀状 (Nengajo) การ์ดอวยพรปีใหม่ให้ครอบครัวและเพื่อน ๆ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-54-1024x683.jpg)
ถ้าตามซุปเปอร์พากันโปรโมทเซ็ตอาหารมงคล ร้านเครื่องเขียนเองก็ไม่น้อยหน้า เพราะพากันตั้งชั้นวางขายการ์ดอวยพรปีใหม่โดยเฉพาะ ยิ่งถ้าเป็นร้านใหญ่หน่อยก็จะมีให้เราเลือกกันแบบละลานตา มีทั้งแบบขายการ์ดแยกเป็นใบ และขายเป็นชุด 3-10 ใบ
สำหรับธรรมเนียมการเขียนการ์ดอวยพรปีใหม่นั้น อาจารย์ชาวญี่ปุ่นบอกว่าสมัยนี้อาจจะไม่ค่อยฮิตมากแล้วในหมู่คนรุ่นใหม่ เพราะคนนิยมส่งเป็น SMS หรือข้อความอวยพรกันทางโซเชียลมีเดียมากกว่า แต่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่และปู่ย่าตายายก็ยังชอบเขียนการ์ดอวยพรส่งทางไปรษณีย์กันอยู่ บางคนก็ส่งการ์ดกันเป็นตั้ง
เรื่องเซอร์ไพรซ์สำหรับเราก็คือ ตามที่ทำการไปรษณีย์จะมีตัวปั๊มคำอวยพรปีใหม่เตรียมไว้ให้ด้วยค่ะ ตอบโจทย์คนที่อยากส่งการ์ดหลายใบแต่เขียนมือไม่ไหว การ์ดอวยพรบางรุ่นก็จะเป็นแบบรวมค่าแสตมป์มาให้เรียบร้อยไม่ต้องหาซื้อติดเพิ่มเองด้วยนะคะ สะดวกมาก ๆ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-3-1024x768.jpg)
ปีนั้นเราก็เลือกซื้อเซ็ตการ์ดปีใหม่ลายหนูมงคล (เพราะปีใหม่เป็นปีชวด) ส่งให้เพื่อน ๆ ทั้งที่ไทยและญี่ปุ่น สำหรับแสตมป์ส่งในญี่ปุ่นราคา 63 เยน ส่งต่างประเทศราคา 70 เยนค่ะ
ส่วนตัวเราชอบธรรมเนียมเขียนการ์ดปีใหม่นี้มาก ชอบทั้งการเป็นผู้ส่งและผู้รับ ปีนั้นนอกจากการ์ดจากเพื่อนสนิทแล้ว อาจารย์ประจำชั้นที่โรงเรียนสอนภาษาก็ส่งมาให้เราเช่นกันค่ะ เปิดตู้เจอคือทั้งตกใจและใจฟูสุด ๆ เป็นความรู้สึกที่ดีจังน้า~
การเตรียมตัวช่วงส่งท้ายปีก็จะมีประมาณนี้ค่ะ หัวหมุนอยู่ไม่นานวันสิ้นปีก็มาถึงแล้ว
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-55-768x1024.jpg)
31 ธันวาคม:
ทำความสะอาดบ้าน x กินโซบะข้ามปี x ตีระฆังปีใหม่ที่วัด
เราตื่นเช้ามาพบกับความเงียบสงัด เพราะเพื่อนข้างห้องต่างออกไปเที่ยวเมืองอื่นหรือไปฉลองปีใหม่กับครอบครัวกันหมด กิจกรรมวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ นอกจากทำความสะอาดห้อง ทิ้งขยะ ซักผ้า แล้วก็เตรียมของทำโซบะเป็นมื้อเย็น
การกินโซบะข้ามปี หรือ 年越し蕎麦 (Toshikoshi Soba) เป็นอีกธรรมเนียมช่วงปีใหม่ของชาวญี่ปุ่น โดยสื่อถึงการมีอายุยืนยาวเหมือนเส้นโซบะ หรือบางตำราก็ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการตัดความโชคร้ายของปีนี้ออกซะก่อนเริ่มปีใหม่ เพราะเส้นโซบะนั้นตัดง่ายกว่าเส้นหมี่แบบอื่นนั่นเอง
ตามธรรมเนียมจะต้องกินโซบะแบบข้ามปี คือกินช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 31 (เหมือนเวลาสวดมนตร์ข้ามปี) แต่เพราะเรากับเพื่อน ๆ วางแผนจะไปตีระฆังที่วัดคืนนี้ เลยเลื่อนมากินโซบะเป็นมื้อเย็นแทน ส่วนประกอบของโซบะสิ้นปีก็เป็นแบบตามใจฉันค่ะ ขอแค่เป็นโซบะในน้ำซุปก็พอ ซึ่งแน่นอนว่าหาซื้อได้ง่ายมากตามซุปเปอร์ แต่ความโก๊ะของเราก็คือ ลืมดูฉลากไปว่าโซบะที่ซื้อมาน่ะมันเป็นแบบจิ้มจุ่ม! (เพิ่งรู้ตัวตอนเอาเส้นมาลวกนี่แหละค่ะ)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-4-1024x1024.jpg)
เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้กินเส้นโซบะล่ะนะ
พอนาฬิกาบอกเวลา 4 ทุ่ม เราก็ออกเดินทางจากหอพักไปที่วัดเพื่อตีระฆังสิ้นปีกันค่ะ
สำหรับระฆังสิ้นปีนั้น มีชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า 除夜の鐘 (Joya no Kane) ถ้าจะตีระฆังเราต้องไปที่วัดเท่านั้นไม่ใช่ที่ศาลเจ้า ความยากอีกอย่างคือไม่ใช่ทุกวัดที่จะมีระฆังสิ้นปี ซึ่งถ้าเป็นวัดดังก็ต้องรีบไปต่อแถวด้วย ไม่งั้นอาจจะได้ยืนรอจนเช้ามืด
สำหรับวัดดังที่เกียวโตคือ 知恩院 (Chion-in) วัดใหญ่ซึ่งมีระฆังขนาดใหญ่มากเช่นกัน ต้องใช้พระถึง 17 รูปเพื่อตีระฆัง ถือเป็นอีเวนต์วันสิ้นปีที่คนให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม ดูท่าว่าคิวต้องยาวมากแน่นอน เพราะงั้นขอผ่านค่ะ
วัดที่เราเลือกไปนั้นมีชื่อว่า 金戒光明寺 (Konkai Komyo-ji) เป็นวัดเล็ก ๆ ที่ต้องเดินขึ้นเนินไปหน่อย อยู่ห่างจากหอพักเราประมาณครึ่งชั่วโมงเดินเท้า ช่วงสี่ทุ่มวันสิ้นปีนั้นรอบข้างเงียบสงบมาก เดาว่าหลายครอบครัวคงไปรวมตัวที่วัดหรือศาลเจ้ากันหมด รถราก็ไม่เยอะเพราะไม่ใช่ย่านใจกลางเมือง ถ้าเดินคนเดียวก็อาจจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง เพราะกว่าจะไปถึงวัดได้นั้นเราต้องเดินผ่านสุสานด้วยล่ะค่ะ (บรื๋อ)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-5-1024x768.jpg)
เราไปถึงที่วัดประมาณสี่ทุ่มครึ่ง บรรยากาศค่อนข้างเงียบและมีคนเพียงประปราย ทางวัดมีการแจกบัตรคิว วางกรวยกับแผงกั้นสำหรับจัดระเบียบแถวไปยังหอระฆัง แถมยังก่อกองไฟไว้ให้อีก ซึ่งเรากับเพื่อน ๆ ก็ไปยืนอังไฟรับความอบอุ่นกันอยู่นาน และเพราะตัววัดตั้งอยู่บนเนินเขา เราเลยได้เห็นวิวเมืองเกียวโตวันสิ้นปีจากมุมสูงด้วย ตัดสินใจไม่ผิดจริง ๆ ที่เลือกมาที่นี่
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/IMG_6301-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-7-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-12-1024x683.jpg)
พอนาฬิกาตีบอกเวลาห้าทุ่มตรง ก็มีเสียงสวดมนตร์ดังมาจากตัวโบสถ์ เราชะเง้อมองเห็นคณะพระสงฆ์กำลังเดินเรียงแถวออกจากโบสถ์ โดยจะมีการสวดมนตร์วรรคหนึ่ง สั่นกระดิ่ง ออกเดิน หยุด และสวดมนตร์อีกวรรค วนลูปกันแบบนี้จนคณะพระสงฆ์เดินไปจนถึงหอระฆัง และเริ่มตีระฆังหนแรก
ตึง ~ ง เสียงระฆังหนแรกดังกังวานไปทั่วบริเวณวัด
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-9-1024x683.jpg)
ตามธรรมเนียมโบราณแล้วทางวัดจะตีระฆังสิ้นปีทั้งหมด 108 ครั้ง ซึ่งเป็นจำนวนของ ‘ความปรารถนาทางโลก’ ที่มนุษย์พบเจอตลอดช่วงชีวิต ถือเป็นความปรารถนาที่ทำให้มนุษย์เกิดความวิตกกังวลและเผชิญกับความยากลำบาก ดังนั้นเมื่อระฆังตีครบ 108 ครั้งก็จะถือว่าเหล่าความปรารถนาพวกนี้ได้รับการชำระล้างจนหมดสิ้นในปีนี้แล้วนั่นเอง
พอพระสงฆ์ตีระฆังครบแล้ว ก็มาถึงคิวของคนทั่วไปที่มาต่อแถวรอค่ะ มีความจริงจังระดับนึงเพราะมีการเก็บบัตรคิวด้วย (คงป้องกันคนแซงคิว) ระหว่างรอเราก็พยายามนับเสียงระฆัง ลุ้น ๆ อยู่ในใจว่าตัวเองจะได้ตีระฆังเป็นหนที่เท่าไหร่ อยู่ภายใน 108 ครั้งหรือเปล่านะ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-10-1024x683.jpg)
ระฆังสิ้นปีของที่นี่ขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่ต้องมีเชือกขึงหรือต้องใช้แรงคนเยอะ ๆ พอถึงคิวเราก็เดินไปจับเชือกที่ผูกกับไม้ตี โดยมีคุณลุงใส่หมวก security คอยยืนช่วยอยู่ ออกแรงนิดหน่อยเพื่อดึงเชือกให้ไม้ตีพุ่งไปกระทบกับตัวระฆัง แล้วก็ได้ยินเสียง ตึง~ง เป็นเสียงระฆังครั้งที่ห้าสิบกว่า ๆ และเป็นเสียงระฆังสิ้นปีครั้งแรกของเราที่ญี่ปุ่นค่ะ
ขอให้ความปรารถนาอันชั่วร้ายจงหายไป เตรียมพร้อมรับสิ่งดี ๆ ในปีใหม่นี้นะ สาธุ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-2-1-1024x1024.jpg)
หลังจากตีระฆังสิ้นปีแล้ว เราก็เดินตามผู้คนไปที่โบสถ์ซึ่งเปิดไฟสว่างไสว ตอนช่วงก่อนเที่ยงคืน พระที่น่าจะเป็นเจ้าอาวาสเริ่มสวดอวยพร และบอกให้เราเดินเข้าไปรับยันตร์จากท่านกันคนละใบ เป็นอันว่าเสร็จพิธี
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-6-1024x768.jpg)
แต่เดินออกจากโบสถ์แล้วก็เกิดหิวขึ้นมายังไงไม่รู้ คณะเราเลยถือโอกาสแวะคาเฟ่เล็ก ๆ ในบริเวณวัด ซื้อซอฟต์ครีมของ Cremia ในโคนคุ้กกี้ทานเป็นมื้อแรกของปี และเป็นการปิดท้ายภารกิจของวันสิ้นปีนี้ค่ะ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-13-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-15-1024x683.jpg)
1 มกราคม:
ตื่นไปดูแสงแรกบนยอดเขา x เคารพศาลเจ้า x กินอาหารมงคล
เสียงรถไฟกำลังเข้าเทียบชานชาลาปลุกเราให้ตื่นจากภวังค์
ตอนนี้เป็นเวลา 5.35 น. รถไฟขบวนแรกมาถึงสถานีโมโตะทานากะตามเวลาพอดีเป๊ะ หลังจากตีระฆังวันสิ้นปี เราก็รีบกลับห้องมานอนเอาแรงเพื่อตื่นมาขึ้นรถไฟแต่เช้ามืด ปลายทางของเช้านี้คือภูเขาคุรามะทางตอนเหนือของเกียวโต ถ้าจะให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันปีใหม่ก็ต้องขึ้นรถไฟขบวนนี้เท่านั้น
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-17-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-16-1024x683.jpg)
การดูพระอาทิตย์ขึ้นเป็นครั้งแรกของปี หรือ 初日の出 (Hatsu Hinode) เป็นธรรมเนียมที่ชาวญี่ปุ่นทำกันมาตั้งแต่สมัยก่อน โดยมีความเชื่อว่าเทพแห่งวันปีใหม่ (年神様 Toshigami-sama) จะเดินทางมาพร้อมกับแสงแรก ซึ่งชาวญี่ปุ่นสมัยก่อนก็จะขอพรให้ตลอดทั้งปีมีพืชพรรณอุดมสมบูรณ์และมีแต่ความสุขนั่นเอง
ตามเว็บไซต์ท่องเที่ยวจะมีการรวมจุดดูแสงแรกของปียอดนิยมในหมู่ชาวญี่ปุ่นเอาไว้ด้วย ซึ่งก็มีทั้งบนยอดเขา ริมทะเล หรือตามตึกสูง เช่น Tokyo Skytree ที่ขยายเวลาเปิดบริการสำหรับช่วงปีใหม่โดยเฉพาะ
สำหรับเราที่อยู่เกียวโตนั้น ปีใหม่นี้จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่วัดคุรามะ หรือ 鞍馬寺 (Kurama-dera) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาชื่อเดียวกัน
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-20-1024x683.jpg)
นั่งสัปหงกอยู่ไม่นานรถไฟก็แล่นมาจอดที่สถานีปลายทาง บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด ท้องฟ้าด้านนอกยังมืดสนิท สำหรับคนที่มาเที่ยวตามวันปกติ พอออกจากสถานีรถไฟก็สามารถเดินไปขึ้นโรปเวย์ (Ropeway) เพื่อขึ้นเขาต่อได้ แต่สถานีโรปเวย์นั้นเปิดทำการตอน 9 โมง และตอนนี้เป็นเวลา 6.03 น. ซึ่งหมายความว่า … เราต้องเดินขึ้นเขากันเองค่ะ (/ปาดเหงื่อล่วงหน้า)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-18-1024x1024.jpg)
โชคดีที่ทางวัดก็ทำทางเดินขึ้นเขาไว้ให้อย่างดี มีทั้งบันไดและทางลาดวกวนไปสู่วัดบนยอดเขา ระหว่างทางเราเดินผ่านซุ้มประตูวัดที่มีไฟนำทางแบบสลัว ๆ ให้บรรยากาศลึกลับน่าขนลุกอยู่หน่อย ๆ ดีจังที่ลากรุ่นน้องมาเป็นเพื่อนด้วย
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-19-1024x683.jpg)
เราสาวเท้าเดินไปตามทางลาดชันท่ามกลางอากาศเลขตัวเดียว แถมยังเป็นการเดินขึ้นเขาแข่งกับเวลาเพราะ app พยากรณ์อากาศบอกว่าพระอาทิตย์ปีใหม่จะขึ้นตอนประมาณ 7 โมงเช้า ปรากฏว่าใช้เวลาราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็มาถึงยอดเขาจนได้
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-21-1024x683.jpg)
นอกจากคณะเราแล้วก็มีชาวญี่ปุ่นหลายคนมายืนรอตั้งกล้องเตรียมถ่ายรูปแสงแรกของปี (คนแก่ก็มีค่ะ คุณตาคุณยายเดินขึ้นเขากันเก่งมาก!) บางคนก็ยืนเอามืออังกองไฟที่จุดไว้ด้านหน้าวัด พอได้สูดอากาศเย็น ๆ บนยอดเขา ปนกับกลิ่นไม้จากกองไฟ ไม่รู้ทำไมแต่มันเป็นบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นและสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกเลย
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-23-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-25-1024x683.jpg)
ใกล้เจ็ดโมง แสงอาทิตย์ก็เริ่มแตะที่ริมขอบฟ้า
เหนือภูเขาเริ่มมีเมฆเกาะกลุ่มบาง ๆ ขณะที่ท้องฟ้ากำลังทยอยไล่สี เรากับกลุ่มผู้ตื่นเช้าอีกราวห้าสิบชีวิตกำลังยืนเกาะกลุ่มรอคอยแสงแรกแห่งปีอย่างตื่นเต้น
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-22-1024x683.jpg)
และในที่สุดแสงอาทิตย์แรกของปีก็โผล่พ้นยอดเขา
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-28-1024x683.jpg)
รอบตัวเรา มีทั้งคนที่รัวชัตเตอร์เก็บภาพ บางครอบครัวก็เกาะกลุ่มถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก บางคนก็ยืนดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเช้าที่แสนพิเศษและเลือกจะเก็บภาพความทรงจำนี้ด้วยตาเปล่า
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-24-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/IMG_6329-1024x683.jpg)
ไหน ๆ ก็ขึ้นมาถึงวัดแล้ว เราเลยเดินเข้าไปไหว้พระในวัดคุรามะซึ่งหันหน้ารับแดดยามเช้าอย่างเต็มที่ สำหรับประวัติของวัดคุรามะนั้นคาดว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 770 ที่นี่มีตำนานที่น่าสนใจมากมายเลยค่ะ โดยในตำราบันทึกไว้ว่าพระจีนรูปหนึ่งฝันว่ามีผู้บอกให้เดินทางไปยังภูเขาทางทิศเหนือ ซึ่งเชื่อกันว่ามีพลังวิญญาณแห่งภูเขา รวมถึงเท็งงุ (Tengu) เทพจมูกยาวสีแดงในตำนานญี่ปุ่น ปกปักรักษาอยู่ พอไปถึงยอดเขาปรากฏว่าโดนยักษ์ปีศาจเข้าโจมตี แต่เทพบิชามอนเท็น (Bishamonten) ผู้คุ้มครองแห่งทิศเหนือก็เข้ามาช่วยไว้ เพื่อเป็นการขอบคุณ พระท่านจึงสร้างอาศรมเพื่อเป็นการบูชากับบำเพ็ญเพียร จนเวลาผ่านไปราว 20 ปีก็มีการสร้างวัดขึ้นอย่างเป็นทางการ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-33-1024x683.jpg)
ส่วนชื่อวัดคุรามะนั้นมาจากคำว่า 鞍 (kura) แปลว่า อาน และ 馬 (uma) แปลว่า ม้า
ตามเรื่องเล่า ระหว่างเดินทางมายังทิศเหนือตามนิมิต พระจีนท่านเกิดหลงทางเข้า เลยมีเทพมากระซิบบอกในฝัน (อีกแล้ว) ว่าให้มองไปยังท้องฟ้าด้านทิศตะวันออก ตื่นเช้ามาพระท่านลองมองไปก็เห็นม้าสีขาวไร้อาน แล้วก็ตามม้าสีขาวไปจนถึงยอดเขาได้ในที่สุดค่ะ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-34-1024x683.jpg)
ตำนานยังเล่าว่าซามุไร มินาโมะโตะ โยชิสึเนะ (Minamoto no Yoshitsune) เองก็เคยบวชเป็นพระอยู่ที่นี่ โยชิสึเนะได้แอบไปฝึกปรือฝีมือดาบกับราชาแห่งเทพเท็งงุบนภูเขา จนในที่สุดก็กลับไปแก้แค้นตระกูลที่ลอบสังหารบิดาของตนได้ หลายคนฟังชื่อเขาอาจจะยังไม่คุ้น แต่โยชิสึเนะถือเป็นซามุไรผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเลยล่ะค่ะ ซึ่งเรื่องราวของเขาจะข้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคเฮอันตอนปลาย นั่งอ่านเรื่องราวชีวิตของโยชิสึเนะไป แล้วก็แอบคิดว่ามังงะเรื่องดาบพิฆาตอสูร (Kimetsu no Yaiba) น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากซามุไรท่านนี้ไม่มากก็น้อยนี่แหละ
กลับมาที่วัดคุรามะ เราเข้าไปด้านในเพื่อไหว้พระแล้วก็เดินดูเครื่องรางพอเป็นพิธี ที่นี่เป็นวัดพุทธนิกายเฉพาะแห่งเดียวที่มีการบูชาเทพสามองค์ตามความเชื่อ ได้แก่
- บิชามอนเท็น (毘沙門天王) ตัวแทนแห่งพระอาทิตย์และแสงสว่าง
- เซ็นจูคันนอน (千手觀世音菩薩) หรือเจ้าแม่กวนอิมพันมือ ตัวแทนแห่งดวงจันทร์และความรัก
- โกะโฮ-มาโอซอน(護法魔王尊) ตัวแทนแห่งโลกและพลัง
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-32-1024x683.jpg)
จากตัววัดคุรามะจะมีทางเดินลงภูเขาไปยังศาลเจ้าคิฟุเนะได้ด้วย ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า ๆ เดินลงไม่เหนื่อยมากเท่าตอนเดินขึ้น และที่สำคัญพอเช้าแล้วก็ได้เห็นวิวแมกไม้ในป่าดูสวยงาม สมกับที่ทางเดินตรงนี้ได้ชื่อว่าเป็นเส้นทางอันศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างทางก็มีศาลเจ้าเล็ก ๆ ให้เราแวะสักการะกับนั่งพักเหนื่อย
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-41-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-38-1024x683.jpg)
จากต้นทางจะมีกล่องใส่ไม้เท้าเดินป่า เป็นท่อนไม้ยาว ๆ สำหรับการเดินเขา พอลงไปถึงตรงศาลเจ้าคิฟุเนะด้านล่างก็มีกล่องให้ใส่คืนด้วยค่ะ เห็นแบบนี้แล้วก็ได้แต่คิดว่า สมกับเป็นญี่ปุ่นนนนนนน ซะจริง
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-39-1024x683.jpg)
ศาลเจ้าคิฟุเนะ (貴船神社) นั้นเป็นศาลเจ้าดังของเกียวโต จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีคนเดินทางมาสักการะศาลเจ้ากันแต่เช้า ที่หน้าเสาโทริอิมีป้ายเขียนคันจิตัวใหญ่ว่า 初詣 (Hatsumoude) หมายถึงการสักการะศาลเจ้าครั้งแรกของปีค่ะ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไปสักการะศาลเจ้ากันช่วงวันปีใหม่จนถึง 3 มกราคม มังงะญี่ปุ่นหลายเรื่องก็มักจะมีฉากพาตัวละครไปสักการะศาลเจ้ารับปีใหม่ ถือเป็นธรรมเนียมที่ทำกันโดยทั่วไป ถ้าเป็นศาลเจ้าดังบางแห่ง อย่างศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ เห็นว่าช่วงปีใหม่มีคนญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะจากทั่วทุกสารทิศรวมกว่า 2 ล้านคนแน่ะ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-42-1024x683.jpg)
ที่ศาลเจ้าคิฟุเนะคนไม่เยอะเท่าไหร่เราเลยใช้เวลาแค่แป๊บเดียวในการยืนต่อแถว โยนเหรียญ สั่นกระดิ่ง และคำนับขอพร เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ ก่อนกลับก็ไม่ลืมถ่ายรูปบันไดที่มีโคมสีแดงเรียงรายเก็บไว้เป็นที่ระลึก
สำหรับใครที่เป็นแฟนนิยายเรื่อง โชเน็นอนเมียวจิ จอมเวทปราบมาร ที่ศาลเจ้าคิฟุเนะเป็นอีกสถานที่ที่ต้องมาตามรอยค่ะ เพราะมาซาฮิโระ (พระเอกของเรื่อง) ดูจะมีดวงผูกกับเทพทากาโอกามิซึ่งสถิตอยู่ที่ศาลเจ้านี้ซะเหลือเกิน
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-43-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-46-1024x683.jpg)
ขากลับจากศาลเจ้าคิฟุเนะ เราบังเอิญได้ขึ้นรถไฟขบวนพิเศษที่มีชื่อว่า คิราระ (KIRARA) รถไฟขบวนนี้มีความพิเศษตรงที่ว่ามีบานหน้าต่างขนาดใหญ่และมีที่นั่งหันชมวิวด้านนอกโดยเฉพาะ มาช่วงฤดูหนาวเลยได้เห็นวิวต้นไม้โกร๋น ๆ ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วงน่าจะเห็นวิวใบไม้แดงตลอดทาง สำหรับใครที่สนใจอยากนั่งรถไฟขบวนนี้สามารถเช็คตารางเดินรถได้ ที่นี่
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-47-1024x873.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-49-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-48-1024x683.jpg)
กลับถึงตัวเมืองตอนเกือบ 10 โมงเช้าพร้อมกับความหิวเต็มพิกัด (แหงสิ ก็ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เที่ยงคืน) เราเลยแวะเซเว่นซื้อไอติมชาเขียวมากินรองท้องก่อนกลับห้อง เพราะยังมีภารกิจสุดท้ายรอเราอยู่
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-50-1024x683.jpg)
ภารกิจที่ว่านี้คือ การกินอาหารมงคลรับปีใหม่ค่ะ
อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกเรื่อง Osechi หรือเซ็ตอาหารที่ประกอบไปด้วยของที่มีความมงคลต่าง ๆ ซึ่งเราไปซื้อจากซุปเปอร์แถวบ้านมาเตรียมไว้เรียบร้อย แต่นอกจาก Osechi แล้ว อาหารรับปีใหม่ตามธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่นก็ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
- Hanabiramochi (葩餅) ขนมโมจิแป้งบางห่อโกโบ รูปร่างคล้ายกลีบดอกไม้ สื่อความหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ และการมีอายุยืนยาว (รากไม้โกโบเป็นสัญลักษณ์ถึงสุขภาพและการมีอายุยืน)
- Obukucha (大福茶) ชาแห่งความโชคดี นิยมดื่มกันในวันปีใหม่ บางที่ก็จะใส่บ๊วยแห้ง หรือใส่คอมบุที่พันเป็นรูปโบว์สวยงามลงไปด้วย ธรรมเนียมการดื่มชาโชคดีนั้นเริ่มต้นในเกียวโตสมัยเฮอัน ตำนานเล่าว่าในช่วงที่เกิดโรคระบาด พระรูปหนึ่งได้นำชาที่ผสมบ๊วยกับคอมบุไปให้ผู้ที่มาไหว้พระที่วัด ปรากฏว่าคนที่ดื่มชาก็อาการดีขึ้น จักรพรรดิเองก็ได้ดื่มชาสูตรนี้ กลายเป็นชาโชคดีที่ดื่มกันเป็นธรรมเนียมช่วงปีใหม่
- Nanakusagayu (七草がゆ) ข้าวต้มสมุนไพร 7 อย่าง ทำจากพืชพรรณที่ออกผลในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ตามธรรมเนียมแล้วจะทานเป็นมื้อเช้าของวันที่ 7 มกราคม
- Ozoni (雑煮) ซุปใส่โมจิย่างที่นิยมกินในช่วงปีใหม่
ซึ่งในบรรดาของกินวันปีใหม่นั้น ซุป Ozoni ดูทำง่ายสุด จึงเป็นเมนูผู้ถูกเลือกค่ะ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-53-1024x683.jpg)
ซุปปีใหม่ Ozoni นั้นนิยมทานกันทั่วญี่ปุ่นก็จริง แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าแต่ละภูมิภาคต่างมีส่วนผสมในซุปที่ไม่เหมือนกันค่ะ ตัวอย่างเช่น
- ฮอกไกโด: ใช้น้ำซุปกระดูกไก่เป็นเบส ใส่โมจิย่างรูปสี่เหลี่ยม เนื้อไก่ แครอท หัวไชเท้า รากโกโบ
- อิวาเตะ: ใช้น้ำซุปดาชิจากปลาแห้ง ใส่โมจิย่างรูปสี่เหลี่ยม นอกจากพวกผักและเนื้อไก่แล้ว ก็ใส่ไข่ปลาแซลมอนลงไปด้วย แถมบางเมืองก็มีซอสหวานจากถั่วให้กินคู่กับโมจิ
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Ozoni_Hokkaido.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Ozoni_Iwate.jpg)
- โตเกียว: ใช้น้ำซุปดาชิจากปลาโอแห้ง ใส่โมจิย่างรูปสี่เหลี่ยม เห็ด ผักโขมญี่ปุ่น ปรุงรสด้วยเหล้ามิรินกับโชยุ
- ทตโตะริ: อันนี้แปลกกว่าใครเพื่อน เพราะเป็นซุปถั่วแดงใส่โมจิรูปร่างกลม สูตรเดียวกับขนมหวานเซ็นไซ (Zenzai) ตามความเชื่อว่าสีของถั่วแดงจะช่วยปัดเป่าความชั่วร้ายได้จึงถือเป็นของกินมงคล
- เกียวโต: ใช้น้ำซุปจากมิโสะขาว ใส่โมจิรูปร่างกลม และพวกผักต่าง ๆ ก็จะหั่นเป็นรูปกลม เพราะสื่อถึงความสุขและความสามัคคีในครอบครัวนั่นเอง
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Ozoni_Tokyo.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Ozoni_Tottori.jpg)
แน่นอนว่าคนไทยในเกียวโตอย่างเราก็ต้องทำ Ozoni สูตรเกียวโตสิคะ จากที่ไม่เคยซื้อมิโสะขาวติดบ้านไว้เลยก็ต้องไปหาซื้อมาจนได้ แต่ลองทำแล้วรู้สึกรสชาติน้ำซุปมันหวานปะแล่ม ๆ ไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ ต้องใส่โชยุตามลงไปจนในที่สุดก็ได้รสชาติที่คุ้นเคย ทานคู่กับเซ็ตอาหารมงคลเป็นการปิดท้ายภารกิจปีใหม่นี้
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-52-1-769x1024.jpg)
สรุปก็คือเป็นวันปีใหม่ที่กิจกรรมเยอะจริงๆ และที่สำคัญคือ แทบไม่ได้นอนค่ะ ฮ่า
ถึงจะเหนื่อยแต่ว่าสนุก และเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ดีมาก ๆ เหมือนได้ทำสิ่งมงคล กินอาหารมงคลเก็บแต้มบุญไว้ใช้ตลอดปี สำหรับใครที่อยากลองทำภารกิจ ‘ปีใหม่อย่างคนญี่ปุ่น’ เหมือนกับเรา สรุปไว้ให้ในตารางด้านล่างนะคะ
年末 ก่อนวันสิ้นปี | 大晦日 วันสิ้นปี (31 ธันวาคม) | 元旦 วันปีใหม่ (1 มกราคม) |
– ทำความสะอาดบ้าน – ซื้อวัตถุดิบเตรียมทำอาหาร – สั่งจอง/หาซื้อเซ็ตอาหารมงคล (Osechi) – ส่งการ์ดอวยพรปีใหม่ (Nengajo) | – กินโซบะข้ามปี (Toshikoshi Soba) – ตีระฆังสิ้นปี (Joya no Kane) | – ดูแสงแรกของปี (Hatsu Hinode) – เคารพศาลเจ้าครั้งแรกของปี (Hatsumoude) – ทานอาหารมงคลและซุปโมจิ |
新年あけましておめでとうございます!
ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขในวันปีใหม่นี้นะคะ
แล้วเจอกันในบทความฉบับหน้าค่ะ!
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/Snapseed-27-1024x683.jpg)
![](https://www.jpsimplelife.com/wp-content/uploads/2022/12/FullSizeRender-1024x1024.jpg)
Resource:
ว่าด้วยอาหารมงคลโอะเซจิ https://www.oisix.com/shop.osechi–cont-type__html.htm
ธรรมเนียมการตีระฆังวันสิ้นปี https://matcha-jp.com/en/1340
สถานที่ดูแสงแรกยอดนิยม https://www.hankyu-travel.com/newyear/kokunai/hatsuhinode/
ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับวัดคุรามะ https://www.discoverkyoto.com/places-go/kurama-dera/
เรื่องราวชีวิตของมินาโมะโตะ โยชิสึเนะ https://www.marumura.com/minamoto-no-yoshitsune-part-1/
เกี่ยวกับนิกายของวัดคุรามะ https://www.learnjikidenreiki.com/post/history-of-mt-kurama
สูตรซุปโอโซนิทั่วญี่ปุ่น https://www.maff.go.jp/j/pr/aff/2001/spe2_03.html
Kyoto Collection
Kyoto Hidden Place :: 3 ที่ลับในเกียวโตที่คนไม่ค่อยรู้จัก